MC บวกเกือบ 5% ลุ้นยอดขาย Q1/60 ทำสถิติสูงสุดใหม่
MC บวกเกือบ 5% ลุ้นยอดขาย Q1/60 ทำสถิติสูงสุดใหม่-รุกขยายธุรกิจผลิตภัณฑ์บำรุงผิว-เครื่องหอม ล่าสุด ณ เวลา 12.12 น. ราคาอยู่ที่ 19.60 บาท บวก 0.90 บาท หรือ 4.81% สูงสุดที่ 19.60 บาท ต่ำสุดที่ 18.80 บาท มูลค่าซื้อขายที่ 57.08 ล้านบาท โบรกฯ แนะ “ซื้อ”
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ราคาหุ้นบริษัท แม็คกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MC ณ เวลา 12.12 น. ราคาอยู่ที่ 19.60 บาท บวก 0.90 บาท หรือ 4.81% สูงสุดที่ 19.60 บาท ต่ำสุดที่ 18.80 บาท มูลค่าซื้อขายที่ 57.08 ล้านบาท
นายบัณฑิต ประดิษฐ์สุขถาวร ประธานเจ้าหน้าที่ด้านการเงินและบัญชี บริษัท แม็ค กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MC เปิดเผยว่า บริษัทจะเดินหน้าขยายธุรกิจการจัดจำหน่ายสินค้าไลฟ์สไตล์ประเภทผลิตภัณฑ์บำรุงผิวและเครื่องหอมอื่นๆ หลังจากที่ได้เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปลายปี 59 ภายใต้บริษัทย่อยบริษัทใหม่ คือ บริษัท อโรมาธิค แอ็คทีฟ จำกัด ที่มี MC ถือหุ้น 55% ส่วนอีก 45% ถือหุ้นโดยนายวิริยะ พึ่งสุนทร ผู้คร่ำหวอดในวงการผลิตภัณฑ์บำรุงผิวด้วยประสบการณ์กว่า 30 ปี
ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้าสัดส่วนยอดขายจากสินค้ากลุ่มนี้มีสัดส่วนยอดขาย 5% ของยอดขายรวมภายใน 5 ปี (ปี 60-64) โดยปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์ในกลุ่มธุรกิจดังกล่าวที่จำหน่าย 2 ชนิด ได้แก่ เจลอาบน้ำ และโลชั่นทาผิว และในปีนี้คาดว่าจะมีผลิตภัณฑ์ใหม่ออกมาจำหน่ายเพิ่มอีกหลายรายการ ได้แก่ แป้งฝุ่น สบู่ก้อนแบบพรีเมียม และน้ำหอม เป็นต้น
บริษัทยังได้มีการพัฒนาโปรแกรมสำหรับตัวแทนจำหน่ายในต่างประเทศ (Dealership program) ในกลุ่มประเทศเมียนมา กัมพูชา ลาว และเวียดนาม (CLMV) ให้แข็งแกร่งขึ้น และมุ่งเน้นพัฒนาบุคลากรอย่างต่อเนื่อง ให้มีศักยภาพ มีความเข้าใจและสามารถตอบสนองการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ธุรกิจในแต่ละช่วงเวลาได้ อย่างรวดเร็ว เพื่อรองรับการเติบโตของธุรกิจในระยะยาวอย่างยั่งยืน
ด้านนางสาวสุณี เสรีภาณุ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร MC เปิดเผยว่า แนวโน้มยอดขายในไตรมาส 1/60 คาดว่าจะทำสถิติสูงสุดต่อเนื่องจากไตรมาส 4/59 ที่ทำยอดขายได้ 1.41 พันล้านบาท เนื่องจากในช่วงไตรมาส 1 ของทุกปีเป็นช่วงไฮซีซั่นต่อเนื่องจากไตรมาส 4 ของทุกปี ประกอบกับในช่วงที่ผ่านมาบริษัทมีการจัดแคมเปญซื้อ 2 แถม 1 เพื่อกระตุ้นยอดขาย และได้การตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี ซึ่งทำให้ยอดขายของบริษัทในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมามีการเติบโตขึ้น
นางสาวสุณี กล่าวเสริมว่า ในปี 60 บริษัทจะเน้นการเดินสายให้ข้อมูลกับนักลงทุนสถาบันในประเทศมากขึ้น เพราะบริษัทต้องการให้มีส่ดส่วนนักลงทุนสถาบันในประเทศเพิ่มขึ้น เพื่อปรับความสมดุลให้สัดส่วนนักลงทุนที่ถือหุ้น MC อยู่ในระดับที่เหมาะสม เนื่องจากปัจจุบันส่ดส่วนนักลงทุนสถาบันต่างประเทศที่ถือหุ้น MC มีสัดส่วนสูงถึง 20% ทำให้ในปี 60 บริษัทชะลอการเพิ่มสัดส่วนนักลงทุนสถาบันต่างประเทศ และหันมาเพิ่มสัดส่วนนักลงทุนสถาบันในประเทศมากขึ้น
ขณะที่ บล.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ แนะนำ “BUY” ราคาเป้าหมาย 19.40 บาท/หุ้น โดยเห็นสัญญาณบวกของธุรกิจ MC 3 ข้อ ได้แก่ 1) MC วางแผนว่าจะไม่ใช่บริษัทขายกางเกงยีนส์เท่านั้น แต่ในอีก 3 ปีข้างหน้าจะเพิ่มสัดส่วนสินค้าอื่นๆ ขึ้นเป็น 40% เช่น เสื้อผ้าท่อนบน นาฬิกา และล่าสุดคือผลิตภัณฑ์บำรุงผิวและเครื่องหอมอื่นๆ ซึ่ง MC สามารถนำมาทำ Product bundling เพื่อเพิ่มยอดขายต่อบิลได้ และเป็นเครื่องมือเพิ่มฐานลูกค้าใหม่ๆ 2) เดิม MC มีฐานธุรกิจที่แข็งแกร่งในต่างจังหวัดมากกว่า แต่ในปี 59 SSG ของสาขา กทม. เริ่มเติบโตดีกว่า สะท้อนถึงการยอมรับแบรนด์มากขึ้นของฐานลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูง
และ 3) MC ปรับเปลี่ยนทีมผู้บริหารของ Time Deco ซึ่งเป็น บ.ย่อยจำหน่ายนาฬิกา และจะเน้นให้เกิด Synergy มากขึ้น ทำให้คาดยอดขายโตดีขึ้น จากปี 59 ที่ยอดขายลดลง ลดลง 7% จากปีก่อน (สัดส่วนยอดขายนาฬิกาคิดเป็น 9%) ทั้งนี้ เรามีมุมมองว่า ด้วย 3 สัญญาณบวกนี้จะช่วยสนับสนุนให้ MC บรรลุเป้าหมายยอดขายเติบโต เพิ่มขึ้น 12-15% จากปีก่อน ในปีนี้ได้
โดยประสิทธิภาพการดำเนินงานดีขึ้น MC ได้ลงทุนระบบ SAP เมื่อ 2-3 ปีที่ผ่านมา และเริ่มเห็นผลบวกชัดในปีที่แล้ว โดยช่วยใน 2 ด้าน คือ 1) การบริหารสินค้าคงคลังมีประสิทธิภาพมากขึ้น สะท้อนจาก Inventory ลดลงต่อเนื่องทุกไตรมาส และคาดหวังลดลงได้อีก; และ 2) มีข้อมูลเพื่อการบริหารที่ครอบคลุม ตรงประเด็น เพื่อช่วยปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การขายที่คล่องตัวและเฉพาะเจาะจงในแต่ละสาขา ทั้ง 2 ด้านนี้ถือเป็นกลไกสำคัญช่วยให้ SSG ของ MC เติบโตดีถึง เพิ่มขึ้น 11%จากปีก่อน และทำให้แนวโน้ม GPM ดีขึ้นต่อเนื่องตั้งแต่ไตรมาส 2/59
อย่างไรก็ตามฝ่ายวิจัยปรับประมาณการกำไรปี 60-61 ขึ้น 12% / 13% ด้วยฐานยอดขายและอัตรากำไรที่ดีกว่าคาดในปีที่แล้ว และแนวโน้มการจัดการธุรกิจที่แข็งแกร่ง ทำให้เราปรับประมาณการกำไรปี 60-61 เพิ่มขึ้น 12% / 13% เป็น 973 ลบ. (เพิ่มขึ้น 15%จากปีก่อน) และ 1.1 พันลบ. (เพิ่มขึ้น 13% จากปีก่อน) หรือ เพิ่มขึ้น 14%CAGR โดยเราคาดยอดขายปี 60 ที่ 5.0 พันลบ. (เพิ่มขึ้น 13% จากปีก่อน) ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายของบริษัท แต่ยังคาด GPM ที่ระมัดระวัง โดยคาดลดลงเล็กน้อยเป็น 54.5% แต่ทดแทนด้วย Operating Leverage ที่ดีขึ้น (ค่าใช้จ่ายบางส่วนคงที่) ทำให้ % SG&A to sales ลดลงได้ ซึ่งจะทำให้ NPM เพิ่มขึ้น ส่งผลดีให้กำไรสุทธิเติบโตดีกว่ายอดขายที่เติบโต