SCC ยึดหัวหาดเวียดนาม
ในปี 2560 นี้ ผู้บริหารของ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCC ตั้งเป้าเอาไว้ว่าจะลงทุนรวมประมาณ 60,000-70,000 ล้านบาท และในไตรมาสแรกของปีนี้ก็ประกาศลงตัวกับโครงการลงทุนในเวียดนามไปแล้ว 2 โครงการใหญ่ มูลค่ามากถึง 1.6 มื่นล้านบาท เลยทีเดี
แฉทุกวันทันเกมหุ้น
ในปี 2560 นี้ ผู้บริหารของ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCC ตั้งเป้าเอาไว้ว่าจะลงทุนรวมประมาณ 60,000-70,000 ล้านบาท และในไตรมาสแรกของปีนี้ก็ประกาศลงตัวกับโครงการลงทุนในเวียดนามไปแล้ว 2 โครงการใหญ่ มูลค่ามากถึง 1.6 มื่นล้านบาท เลยทีเดียว
พูดน้อย แต่พูดหนักแน่นเสมอ แล้วก็ทำจริง ไม่เคยเปลี่ยนแปลง
โครงการแรก เป็นของบริษัท เอสซีจี ซิเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ SCC ถือหุ้นทั้งหมด ได้เข้าซื้อหุ้น 100% ในมูลค่า 156 ล้านเหรียญสหรัฐ ใน Vietnam Construction Materials JSC (VCM) ซึ่งเป็นผู้ประกอบธุรกิจปูนซีเมนต์ครบวงจรในภาคกลางของประเทศเวียดนาม โดยซื้อมาจากกลุ่มผู้ถือหุ้นเดิม
หากรวมถึงหนี้สินสุทธิและเงินลงทุนส่วนเพิ่ม เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพของกิจการ VCM มีโรงงานตั้งอยู่ในภาคกลางของประเทศเวียดนาม กำลังการผลิตปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์ 3.1 ล้านตันต่อปี จะเป็นเงินลงทุนจริงประมาณ 440 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 1.54 หมื่นล้านบาท
ข้อดีของการลงทุนนี้ เปรียบได้กับการ “ยิงกระสุนนัดเดียวได้นกหลายตัว” เพราะ ภายหลังการเข้าซื้อกิจการดังกล่าว SCC จะมีกำลังการผลิตปูนซีเมนต์ในอาเซียน (นอกประเทศไทย) รวมเพิ่มขึ้นเป็น 10.5 ล้านตันต่อปี ส่วนกำลังการผลิตปูนซีเมนต์ในประเทศไทยรวม 23 ล้านตันต่อปี
ที่สำคัญทำให้กำลังการผลิตปูนของเครือ SCC ทั้งภูมิภาค จะเพิ่มจาก 24 ล้านตัน เป็น 30 ล้านตัน หรือ เพิ่มขึ้น 25% เป็นการตอกย้ำจุดยืนว่า SCC ยังคงมุ่งมั่นที่จะดำเนินธุรกิจปูนซีเมนต์แบบครบวงจรในอาเซียนต่อไป ไม่ได้คิดจะทิ้งให้หลุดมือแต่อย่างใด
โครงการต่อมา มีขนาดเล็กกว่ามาก โดยทางบริษัท วีนา เอสซีจี เคมิคอลส์ จำกัด (VSCG) บริษัทย่อยของ SCC ที่ถือหุ้นทั้งหมด ได้เข้าทำสัญญาซื้อขายหุ้นกับ QPI Vietnam Limited (QPIV) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ Qatar Petroleum International โดยซื้อส่วนทุนทั้งหมด 25% ของ QPIV ที่มีอยู่ใน Long Son Petrochemicals Company Limited (LSP) ซึ่งมีมูลค่า 36.1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 1,300 ล้านบาท ส่งผลให้สัดส่วนการลงทุนทั้งทางตรงและทางอ้อมของ SCC ใน LSP เพิ่มขึ้นเป็น 71% จากเดิม 46% ขณะที่ฝ่ายผู้ร่วมทุนเวียดนามมีสัดส่วน 29%
การลงทุนดังกล่าว มีความหมายต่อยุทธศาสตร์ธุรกิจในระยะยาวของ SCC ในอาเซียนอย่างมาก หลังจากหลายปีมานี้ ประสบความสำเร็จอย่างดีจากการรุกเข้าลงทุนในตลาดอินโดนีเซีย จนมีกำไรสุทธิเติบโตงดงาม สวนทางกับยอดธุรกิจในประเทศที่ทรงตัวหรือถอดถอยลง โดยเปรียบเทียบ
การรุกลงทุนในเวียดนาม 2 โครงการนี้ คือการยึดหัวหาดที่สำคัญยิ่ง หลังจากที่ยืดเยื้อยาวนานมาร่วม 10 ปีโดยไม่มีความคืบหน้า กับโครงการปิโตรเคมี คอมเพล็กซ์
โครงการดังกล่าว ซึ่งริเริ่มในปี 2551 คาดว่าจะใช้เงินลงทุนเบื้องต้น 4.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ โดยกลุ่มเครือซิเมนต์ไทย และ บมจ.ไทยพลาสติกและเคมีภัณฑ์ถือหุ้นรวม 46% QPI Vietnam (QPIV) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของกาตาร์ ปิโตรเลียมฯ 25% และเจ้าถิ่นคือ ปิโตรเวียดนาม และวีนาเคม ถือหุ้น 29%
โครงการยักษ์ดังกล่าวตั้งอยู่ที่เกาะ Long Son ในจังหวัด Ba Ria-Vung Tau ทางตอนใต้ โดยจะอยู่ติดกับโครงการโรงกลั่นน้ำมันในอนาคต ประกอบด้วย โรงงานผลิตโอเลฟินส์ขนาดกำลังการผลิต 1.4 ล้านตันต่อปี ซึ่งมีความยืดหยุ่นในการเลือกใช้วัตถุดิบหลักได้หลากหลายประเภท (Ethane, Propane และ Naphtha) ผลิตผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีขั้นกลางและขั้นปลาย เพื่อป้อนตลาดภายในประเทศเวียดนาม โดยมีบริการพื้นฐานต่างๆ ที่จำเป็น เช่น คลังวัตถุดิบและสินค้า ท่าเรือ โรงไฟฟ้าและสาธารณูปโภคอื่นๆ
โครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ในฝัน เผชิญกับปัญหาความล่าช้านับแต่เริ่มต้น จากวิกฤติซับไพร์มในสหรัฐฯ รวมถึงปัญหาเศรษฐกิจในเวียดนามที่ชะลอตัวนานหลายปี ทำให้โครงการล่าช้าออกไป โดยคาดว่าจะได้ข้อสรุปเรื่องการจัดหาแหล่งเงินเพื่อมาลงทุนในโครงการดังกล่าว ในไตรมาส 1/2556 แต่ก็ถูกเลื่อนออกไปอีก
ล่าสุด 2 ปีก่อน วิกฤติราคาน้ำมัน ทำให้กาตาร์ ปิโตรเลียม ประกาศถอนตัวออกไป ทำให้ต้อง ดิ้นรนหาพันธมิตรใหม่เสียบแทน ซึ่งยังไม่ได้จนถึงวันนี้
ปัญหาชะงักงันดังกล่าว ได้ถูกผ่าทางตันเรียบร้อยแล้วจากโครงการลงทุนใหม่ 2 โครงการนี้ เป็นการเบิกร่องนำทางที่สวยงาม แม้จะมีขนาดค่อนข้างต่ำกว่าที่คาด แต่ว่าคงจะไม่หยุดแค่นี้ สำหรับ SCC ที่ “เล็กๆไม่ ใหญ่ๆทำ” จนชาชิน
การเบิกร่องดังกล่าว ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกที่บรรดานักวิเคราะห์หุ้นทั้งหลายพากันขยับตัวกันพรึ่บรับข่าวว่า ราคาหุ้นเป้าหมายของ SCC จะต้องเกิน 600.00 บาท อันเป็นเป้าหมายเดิมแน่นอน
เหตุผลง่ายๆ คือ เปิดตัวแรงอย่างนี้ มีโอกาสที่เป้าหมายการลงทุนประมาณ 60,000-70,000 ล้านบาทมีโอกาสทะลุได้แน่นอน หลังจากที่ปีก่อนทำได้ต่ำกว่าเป้า 50,000 ล้านบาท
ส่วนจะได้ได้ถึง 635.00 บาทอันเป็นเป้าเดิม ก่อนถูกปรับลงลงมาหรือไม่…ยังต้องพิสูจน์
ขึ้นอยู่กับว่า ปีนี้ จะเกิดโรคแทรก “ขึ้นต้นเป็นลำไม้ไผ่ เหลาลงไปเป็นบ้องกัญชา” หรือไม่…เป็นสำคัญ
ถ้าไม่เป็น ก็ไร้กังวล
“อิ อิ อิ”