จิ้งจอกสีครามพลวัต2015
คัมภีร์ หรือนิทานปัญจตันตระ เป็นคู่มือสอนหลักการปกครองในยุคโบราณของอินเดียยุครวมแว่นแคว้นต่างๆ เข้าด้วยกันก่อนเป็นจักรวรรดิ มีลักษณะเป็นนิทานซ้อนนิทาน ซึ่งมีลักษณะเดียวกับนิทานเวตาล หิโตปเทศ และกถาสริตสาคร
คัมภีร์ หรือนิทานปัญจตันตระ เป็นคู่มือสอนหลักการปกครองในยุคโบราณของอินเดียยุครวมแว่นแคว้นต่างๆ เข้าด้วยกันก่อนเป็นจักรวรรดิ มีลักษณะเป็นนิทานซ้อนนิทาน ซึ่งมีลักษณะเดียวกับนิทานเวตาล หิโตปเทศ และกถาสริตสาคร
เนื้อหาของปัญจตันตระค่อนข้างคล้ายหิโตปเทศ โดยหิโตปเทศแบ่งย่อยเป็นสี่เล่ม ส่วนปัญจตันตระแบ่งย่อยเป็น 5 เล่ม โครงเรื่องหลักคือเป็นการรวบรวมเรื่องราว เพื่อให้เจ้าชายที่โง่เขลาได้เรียนรู้ให้เข้าใจโดยรวดเร็ว เรื่องย่อยของปัญจตันตระ ได้แก่ 1) มิตฺรเภท หรือการแตกมิตร 2) มิตฺรลาภ หรือการผูกมิตร 3) กาโกลูกียมฺ หรือสงคราม 4) ลาพฺธาปรฺญาศมฺ หรือลาภหาย 5) อปรีกษิตการากํ หรือสันติภาพ
หนึ่งในนิทานของปัญจตันตระ ที่ซ้ำกับในหิโตปเทศ คือ เรื่องจิ้งจอกสีคราม
ยามแล้งจัด อาหารในป่าขาดแคลน สุนัขจิ้งจอกเที่ยวเตร่หาอาหาร พ้นจากเขตป่าเข้าไปในชายเขตเมือง เจอเข้ากับกลุ่มสุนัขเมืองฝูงใหญ่ ถูกกลุ้มรุมกัดเหวอะหวะ หนีซมซานจนพลัดตกลงไปในถังครามของช่างย้อมผ้า พยายามกระโจนออกเท่าไรก็ไม่พ้น จนเวลารุ่งเช้า จึงแกล้งทำเป็นตาย ช่างย้อมผ้ามาเห็นเข้าก็ลากมันขึ้นจากถัง เอาไปโยนทิ้ง
สุนัขจิ้งจอกวิ่งกลับเข้าป่า ระหว่างทางสัตว์ป่าตัวอื่น พากันโจษขานกันอย่างแพร่หลาย ข่าวกระพือไปทั่วอย่างรวดเร็วยิ่งกว่าไฟป่า
เริ่มต้นสัตว์ทั้งหลายส่งคำเตือนไปว่าให้อยู่ห่างจากเจ้าสัตว์ตัวสีคราม เพราะว่า“…ถ้ามีเหตุงุนงงชวนสงกา ไม่รู้ว่าร้ายดีมีไฉน ควรหลีกลี้ให้ห่างอย่าวางใจ ถือปลอดภัยไว้ก่อนเป็นการดี…”
จากสัตว์ที่ไม่เคยมีอำนาจหรือใครเกรงขาม เมื่อเริ่มมีชื่อเสียง เจ้าสุนัขจิ้งจอกจึงเริ่มมีอหังการขึ้นมา มองเห็นวิกฤตเป็นโอกาสขึ้นมา เพราะการมีขนสีสวยอย่างนี้ ก็น่าจะเป็นโอกาสสร้างฐานะให้สูงขึ้นกว่าเก่าจากสุนัขธรรมดา กลายเป็นพญาจิ้งจอก เที่ยวคุยโวโอ่อวดว่า ขนของมันนั้น ได้มาจากองค์เทวะใช้น้ำยาจากต้นไม้ทุกชนิด เสกสรรสีขึ้นมาเพื่อให้เหมาะสำหรับสัตว์ที่จะเป็นเจ้าป่า สุนัขจิ้งจอกสีคราม จึงสมอ้างตนเป็นผู้ให้คำบัญชาในกิจการของป่าแต่ผู้เดียว
เริ่มต้นจากบรรดาหมาจิ้งจอกพากันหมอบราบแสดงอาการยอมรับ ต่อมาสิงห์ เสือ และสัตว์อื่นๆ ก็ยอมรับตาม จิ้งจอกสีนิลก็ยิ่งเพิ่มความลำพอง
จิ้งจอกสีนิลมองไปที่เพื่อนหมาจิ้งจอกด้วยกัน แล้วคิดว่าเป็นสัตว์ชั้นต่ำ ไม่สง่างามเหมือนเสือ สิงห์ ที่เป็นสัตว์ชั้นสูง ก็นึกรังเกียจชาติพันธุ์ตัวเอง จึงหาทางจัดระเบียบใหม่ของป่า ให้บรรดาพวกหมาจิ้งจอกถูกจัดชั้นเป็นสัตว์ชั้นรอง
อยู่มาวันหนึ่งขณะประชุมบรรดาสรรพสัตว์ทั้งหลายในป่าใหญ่ ห้อมล้อมด้วยเหล่าสัตว์ชั้นนำของป่านั้นเสียงเห่าหอนของฝูงสุนัขจิ้งจอกในฤดูผสมพันธุ์ก็แว่วมาแต่ไกลในยามพลบค่ำ และดังขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเวลาย่างไป
เสียงหอนนำ และเสียงหอนรับของสุนัขจิ้งจอกด้วยกันส่งทอดต่อเนื่องระงมหมาทั้งหลายก็หอนรับ…โหยหวนไปทั้งป่า
เสียงโหยหวนดังกล่าวเป็นธรรมชาติที่ต้องปลุกกำหนัดแห่งฤดูกาลของสัตว์แต่ละชนิด ร่างกายของสุนัขจิ้งจอกสีนิลสั่นเทิ้มด้วยแรงกำหนัด น้ำตาไหลพราก แรงขับทางเพศถูกกระตุ้นจนยากจะระงับเอาไว้ได้ มันอดรนทนไม่ไหวจึงลุกขึ้น เปล่งเสียงหอนรับไปตามธรรมชาติเท่านั้นเอง ความจริงของผู้นำป่าก็ถูกเผยออกมาว่าแท้ที่จริงแล้ว ก็แค่สุนัขจิ้งจอกตัวหนึ่ง
คงจะไม่ต้องพูดถึงจุดจบของสุนัขจิ้งจอกสีครามให้ยืดเยื้อ เอาเป็นว่า จบไม่สวยก็แล้วกัน แต่บทเรียนที่สอนกันต่อๆ มาจากเรื่องนี้คือ นิสัยสภาพของใคร ไม่ว่าจะฝืนเติมแต่งอย่างไร ย่อมยากที่ตนเองจะพึงฝืนได้ยาวนาน เพราะท้ายสุดคุณค่าที่แท้จริงจะแสดงตนออกมา
อุปมาฉันใด ก็เปรียบได้กับราคาหุ้นและดัชนีตลาดหุ้น
สัปดาห์เศษมาแล้วที่แรงซื้อของกองทุนเข้ามาดันตลาดให้พ้นจากจุดแนวรับใต้ 1,500 จุด นักวิเคราะห์หลายสำนักพากับปรับมุมมองใหม่ว่าอาจจะขึ้นไปที่แนวต้านเหนือ 1,550 จุดอีกครั้ง คำถามที่ไม่มีคำตอบคือ ขึ้นไปเพื่อให้สัญญาณทางเทคนิคเป็นไปตามที่นักวิเคราะห์คาดเดาไว้ว่าแม่นยำ หรือขึ้นไปเพื่อทำกำไรของกองทุนเอง
ถ้าคำตอบเป็นอย่างแรก นี่คือคำอธิบายแบบสุนัขจิ้งจอกสีคราม เพราะนักวิเคราะห์นั้นไม่ใช้ศาสดาพยากรณ์ที่แม่นยำอะไร เป็นเพียงคนที่เอาสถิติเก่ามาคาดเดาอนาคต
วอร์เรน บัฟเฟตต์เองถึงขั้นบอกว่า เป็นเรื่องน่าเวทนาที่นักวิเคราะห์มีคนเชื่อถือเกินจริงในตลาด เพราะมันเสมือนหนึ่งนักลงทุนที่ร่ำรวยหรือประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานมาแล้วระดับหนึ่ง นั่งรถคาดิแลคไปขอรับคำชี้แนะร่ำรวยจากคนที่นั่งรถประจำทางมาทำงานว่าจะร่ำรวยกว่าเดิมได้อย่างไร
โดยข้อเท็จจริง ผู้จัดการกองทุนทุกชนิด รวมทั้งทริกเกอร์ฟันด์ จะจ้องเข้าซื้อหุ้นในยามที่ดัชนีหรือราคาหุ้นอยู่ในเกณฑ์ต่ำ แล้วรอขายเมื่อราคาถึงเป้าหมาย ไม่ใช่ขายเมื่อถึงแนวต้าน เพราะกองทุนมีไว้เพื่อทำกำไร ไม่ใช่เพื่อดันดัชนีตลาด เพราะกองทุนมีสัมภาระสำคัญคือต้องทำกำไรคืนผู้ถือหน่วยลงทุนตามเป้า
สมมติว่า กองทุนทริกเกอร์เข้าซื้อหุ้นที่ดัชนีระดับ 1,490 จุด แล้วดัชนีวิ่งขึ้นมาที่ระดับ 1,530 จุด จะเห็นว่าดัชนีบวกมา 40 จุด คิดเป็นเกือบ 3% หากเป็นกองทุนที่ตั้งเป้า 3% ในเวลา 3 เดือน และเลือกซื้อหุ้นบางรายการเท่านั้น กองทุนพวกนี้ก็คงขายทิ้งปิดกองไปแล้ว ไม่มีดันดัชนีอะไรต่ออีก เพระตีหัวเข้าบ้านสำเร็จตามเป้าไปแล้ว
คงจะไม่มีผู้จัดการกองทุนคนไหน เลือกประพฤติตัวเป็นจิ้งจอกสีคราม เพราะถึงแม้อยากจะทำ แต่ท้ายสุด ข้อกำหนดของภารกิจ ก็จะบังคับให้สุนัขจิ้งจอก ต้องเป็นสุนัขจิ้งจอกจนได้ ไม่อาจแสร้งเป็นเจ้าป่าจอมปลอมได้อีกต่อไป
โดยเนื้อแท้ ข้อเท็จจริงที่ตลาดรู้ดีและนักลงทุนควรรู้ดีเช่นกันคือ พี/อีของดัชนีตลาดหุ้นไทยปัจจุบันแพงมากเกือบ 21 เท่า ดังนั้น ขีดจำกัดการวิ่งขึ้นจึงมีมากมายมหาศาล แต่ไม่มีขีดจำกัดของขาลงเพราะพี/อีที่เหมาะสมแก่การเข้าซื้ออีกครั้งตามมาตรฐานของการลงทุรเพื่อหา “ส่วนต่างแห่งความปลอดภัย” (margin of safety) ตามสูตรของวอร์เรน บัฟเฟตต์ คือ พี/อีต่ำกว่า 15 เท่า หากถือตามสูตรบัฟเฟตต์ ดัชนี SET ที่เหมาะเข้าซื้อคือ ต่ำกว่า 1,400 จุด แต่นั่นก็เป็นแค่ทฤษฎี ส่วนในทางปฏิบัตินั้น เป็นได้และเป็นไม่ได้ ยังต้องตามสภาพของอุปสงค์และอุปทาน
โดยเฉพาะยามนี้ เราได้เห็นหุ้นในตลาดหุ้นไทยจำนวนมาก มีราคาและทิศทางการเคลื่อนไหวในลักษณะเดียวกับสุนัขจิ้งจอกสีครามกันมากมาย และนักวิเคราะห์เองก็ไม่กล้าแตะต้อง เพราะมาร์เก็ตติ้งขอเอาไว้
หุ้นพวกนี้ รอวันที่จะเผลอตัวหอนรับธรรมชาติของมัน เปิดตัวตนที่แท้ออกมาจนล่อนจ้อน ซึ่งถึงเวลานั้น ก็คงได้เห็นโศกนาฏกรรมกันอีก คงไม่ต้องให้ถึงขั้นเอ่ยชื่อเป็นรายตัวกันหรอกนะ