HTECH บวก 3.75% ทำนิวไฮตั้งแต่เข้าตลาด ลุ้นรายได้ปีนี้โตแกร่ง
HTECH บวก 3.75% ทำนิวไฮตั้งแต่เข้าตลาด ลุ้นรายได้ปีนี้โตแกร่ง - เตรียมย้ายเข้า SET ใน Q2/60 ล่าสุด ณ เวลา 10.47 น. ราคาอยู่ที่ 8.30 บาท บวก 0.30 บาท หรือ 3.75% สูงสุดที่ 8.35 บาท ต่ำสุดที่ 8.00 บาท มูลค่าซื้อขายที่ 101.18 ล้านบาท
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ราคาหุ้นบริษัท แฮลเซี่ยน เทคโนโลยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ HTECH ณ เวลา 10.47 น. ราคาอยู่ที่ 8.30 บาท บวก 0.30 บาท หรือ 3.75% สูงสุดที่ 8.35 บาท ต่ำสุดที่ 8.00 บาท มูลค่าซื้อขายที่ 101.18 ล้านบาท โดยราคาหุ้นปรับตัวสูงสุดตั้งแต่เข้าตลาด เมื่อวันที่ 27 มีนาคม 2552
นายพีท ริมชลา กรรมการผู้จัดการ HTECH เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้เติบโตไม่ต่ำกว่า 8-10% จากปีที่ผ่านมา เนื่องจากมีคำสั่งซื้อสินค้าเพิ่มขึ้นจากลูกค้าในอุตสาหกรรมผลิตชิ้นส่วนฮาร์ดดิสก์ไดร์ฟ (HDD) โดยเฉพาะคำสั่งซื้อสินค้าในช่วงเดือนธ.ค.59 – ม.ค.60 ที่ผ่านมานับว่าทำสถิติสูงสุดใหม่ ขณะที่อุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ในต่างประเทศมีคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้นเช่นกัน
นอกจากนี้ยังอยู่ระหว่างเจรจาขายสินค้าให้อุตสาหกรรมชิ้นส่วนเครื่องบิน (Aerospace) ที่ประเทศมาเลเซีย คาดว่าจะได้ข้อสรุปเร็ว ๆ นี้ แต่จากการประชุมกับลูกค้าที่ผ่านมา มีข้อมูลเบื้องต้นว่าโครงการดังกล่าวจะมีระยะเวลายาวนาน 8-12 ปี ซึ่งหากได้คำสั่งซื้อก็จะมียอดขายต่อเนื่อง ถึงแม้สัดส่วนของลูกค้าในอุตสาหกรรมนี้จะไม่มากนัก แต่มีอัตรากำไรดี ขณะที่โรงงานใหม่ที่จะเริ่มผลิตในปลายไตรมาส 3/60 หรือต้นไตรมาส 4/60 จะช่วยหนุนรายได้ของบริษัทเพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ บริษัทอยู่ระหว่างก่อสร้างโรงงานผลิตเครื่องมือตัดเฉือนโลหะ (Cutting Tools) ที่ประเทศเวียดนาม โดยใช้เงินลงทุนประมาณ 1 ล้านเหรียญสหรัฐ จากเดิมที่นำเข้าเพื่อจำหน่าย ซึ่งคาดว่าจะเริ่มผลิตได้ในช่วงไตรมาส 2/60
สำหรับความคืบหน้าในการย้ายหุ้นจากตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) เข้าจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) คาดว่าจะได้รับอนุมัติย้ายตลาดฯได้ภายในไตรมาส 2/60 โดยเชื่อว่าหุ้นของบริษัทจะได้รับความสนใจจากนักลงทุนมากขึ้นทั้งกลุ่มกองทุน สถาบัน ทั้งในและต่างประเทศ รวมทั้งผลการดำเนินงานทิศทางที่ดีขึ้น จะยิ่งดึงดูดการลงทุนจากนักลงทุนใน SET ต่อเนื่อง
ส่วนผลประกอบการในงวดปี 59 บริษัทมีกำไรสุทธิสำหรับ 142.40 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 75.24% จากปี 58 เป็นผลมาจากสัดส่วนรายได้จากการขายที่เพิ่มขึ้นมากกว่าสัดส่วนต้นทุนและค่าใช้จ่าย และมีรายได้รวม 826.20 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.61% จากปี 58 เนื่องจากรายได้จากการขายที่เพิ่มขึ้นหลังได้ติดตั้งเครื่องจักรขยายกำลังการผลิต เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าในส่วนของสินค้าที่เป็นไฮเอนด์มากขึ้น นอกจากนี้บริษัทย่อยในประเทศฟิลิปปินส์ ยังมีคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้นจากการเจาะตลาดลูกค้ากลุ่มใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง
ขณะที่บริษัทย่อยในประเทศเวียดนาม มีรายได้จากการขายเติบโตอย่างต่อเนื่องเช่นกัน ทำให้ทั้งปีมีรายได้ขยายตัวเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัว รวมถึงบริษัทย่อยอื่นๆมีรายได้เติบโตจากปีก่อน ยกเว้นบริษัทย่อยในสิงคโปร์ ซึ่งได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมัน ทำให้ภาคอุตสาหกรรมโดยรวมในประเทศค่อนข้างซบเซาในช่วงต้นปี ทั้งนี้เริ่มเห็นสัญาณฟื้นตัวและรายได้ที่เพิ่มขึ้นตั้งแต่ช่วงไตรมาสที่ 3/59 ที่ผ่านมา
“บริษัทพอใจกับผลงานที่ออกมา ทั้งรายได้และกำไรที่เติบโตอย่างน่าประทับใจ เมื่อเปรียบเทียบกับปี 58 ที่ผ่านมา ที่มีรายได้รวมเพิ่มขึ้น 10.61% แต่กำไรเพิ่มขึ้นถึง 75.24% เนื่องจากบริษัทมีกำลังการผลิตสินค้าไฮเอนด์ มากขึ้นซึ่งมีกำไรขั้นต้นสูง บวกกับการบริหารจัดการต้นทุนที่ดีขึ้นจากเครื่องจักรใหม่ๆ และระบบควบคุมภายในซึ่งมีการนำวัตถุดิบกลับมาใช้ใหม่ได้ในปริมาณมากขึ้น รวมถึงมีการลดค่าใช้จ่ายต่างๆจากปีก่อน ส่งผลให้โดยรวมทั้งกลุ่มบริษัทมีอัตรากำไรที่ดีขึ้น และคาดว่าผลประกอบการของบริษัททั้งรายได้และกำไรในปี 60 จะดีต่อเนื่อง” นายพีท กล่าว