WHA มั่นใจปี 60 ทำกำไรนิวไฮ จ่อรับรู้รายได้ขายไฟ 130MW
WHA มั่นใจปีนี้ทำกำไรนิวไฮ หลังภาระดอกเบี้ยลดลง-เพิ่มสัดส่วนรายได้ประจำ เตรียมรับรู้รายได้จากการจำหน่ายไฟฟ้าเข้าสู่ระบบเพิ่มขึ้นอีก 130MW
นางสาวจรีพร จารุกรสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ WHA เปิดเผยว่า บริษัทคาดการณ์กำไรสุทธิปีนี้จะทำสถิติสูงสุดต่อเนื่องจากปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 2.9 พันล้านบาท เป็นผลจากการที่มีสัดส่วนกำไรจากธุรกิจที่มีรายได้ประจำ (recurring income) เป็น 50% จากปีก่อนที่ 43% ประกอบกับแนวโน้มต้นทุนทางการเงินของบริษัทลดลง จากภาระดอกเบี้ยจ่ายที่น้อยลงหลังจากทยอยชำระคืนหนี้เงินกู้ในการเข้าซื้อหุ้นบริษัทเหมราชพัฒนาที่ดิน จำกัด (มหาชน) มาก่อนหน้านี้
อย่างไรก็ตาม ในด้านรายได้ของบริษัทในปีนี้คาดว่าจะลดลงจากปีก่อน 59 ที่มีรายได้อยู่ที่ 1.8 หมื่นล้านบาท เนื่องจากในปีนี้จะมีการขายสินทรัพย์เข้ากองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) ลดลง โดยเบื้องต้นมีแผนจะขายสินทรัพย์เข้ากองทุนราว 5 พันล้านบาท หรือคิดเป็นพื้นที่เช่าของโรงงานและคลังสินค้าราว 80,000-90,000 ตารางเมตร จากเดิมที่เคยขายสินทรัพย์เข้ากองรีทราวปีละ 100,000 ตารางเมตร ขณะที่บริษัทคาดว่าจะสามารถขายที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมได้ราว 1,000 ไร่ และน่าจะมียอดโอนราว 1,000 ไร่ โดยในช่วง 2 เดือนแรกของปีนี้ บริษัทขายที่ดินได้แล้วจำนวน 500 ไร่
นอกจากนี้บริษัทจะสามารถรับรู้รายได้จากการจำหน่ายไฟฟ้าเข้าสู่ระบบเพิ่มขึ้นอีก 130 เมกะวัตต์ จากการจ่ายไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าเอกชนรายเล็ก (SPP) ทั้ง 4 โรง ในปี 60 และรายได้จากการให้บริการระบบสาธารณูปโภคที่เพิ่มขึ้น รวมถึงมีรายได้จากค่าเช่าโรงงาน และคลังสินค้า อีกทั้งจะสามารถรับรู้รายได้จากการบริหารกองรีท ส่วนการลงทุนภายในปีนี้บริษัทจะใช้เงินจำนวน 7.3 พันล้านบาท โดยแบ่งเป็นการลงทุนในธุรกิจโลจิสติกส์จำนวน 2 พันล้านบาท และลงทุนในธุรกิจดิจิตอล จำนวน 400-500 ล้านบาท ส่วนที่เหลือลงทุนในนิคมอุตสาหกรรมแห่งที่ 9
ทั้งนี้ บริษัทจะเสนอผู้ถือหุ้นพิจารณาอนุมัติการออกและเสนอขายหุ้นกู้วงเงินรวม 5 พันล้านบาท ซึ่งก่อนหน้านี้บริษัทได้ขออนุมัติจากผู้ถือหุ้นแล้วจำนวน 4.5 พันล้านบาท โดยจะทำให้บริษัทสามารถออก และเสนอขายหุ้นกู้วงเงินไม่เกิน 9 พันล้านบาท โดยจะทยอยออกในปีนี้ประมาณ 4.5-5 พันล้านบาท เพื่อใช้ในการลงทุนต่างๆ ของบริษัท สำหรับการลงทุนพัฒนาที่ดินในนิคมอุตสาหกรรมที่เวียดนามว่า จะเริ่มทยอยลงทุนภายในปีนี้ โดยบริษัทได้รับใบอนุญาตให้พัฒนาพื้นที่ในนิคมฯ จำนวน 20,000 ไร่ โดยจะทยอยก่อสร้างเป็น 6 เฟส ซึ่งเฟส 1 จะใช้เงินลงทุนจำนวน 1 พันล้านเหรียญสหรัฐ
ขณะที่ความคืบหน้าการลงทุนโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) มูลค่าโครงการรวม 1.5 ล้านล้านบาท ซึ่งภาครัฐจะใช้เงินลงทุนประมาณ 7 แสนล้านบาท และภาคเอกชนจะลงทุนในรูปแบบความร่วมมือภาครัฐและภาคเอกชน (PPP) จะใช้เงินลงทุนจำนวน 9 แสนล้านบาท คาดจะเริ่มมีการลงทุนภายในปี 60 และจะเริ่มลงทุนชัดเจนภายในปี 61 ซึ่งบริษัทมีพื้นที่ในนิคมฯเพื่อรองรับโครงการพัฒนาดังกล่าวเรียบร้อยแล้ว และยังได้รับอานิสงส์จากการที่รัฐจะเร่งให้ไทยเป็นศูนย์การของการบิน และศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยานด้วย