TMILL ตั้งเป้าปีนี้รายได้-กำไรโตเกิน10% เล็งขยายกำลังผลิต-พัฒนาสินค้า

นายชาญกฤช เดชวิทักษ์ รองประธานกรรมการบริหาร บริษัทที เอส ฟลาวมิลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TMILL เปิดเผยว่า ส่วนทิศทางผลประกอบการในปีนี้บริษัทตั้งเป้ารายได้และกำไรสุทธิปีนี้จะเติบโตไม่ต่ำกว่า 10% จากปีก่อนที่มีรายได้ 1349.52 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 69.50 ล้านบาท จากคาดการณ์ปริมาณการขายปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นตามการเติบโตของการบริโภคแป้งสาลีในประเทศไทยที่ราวปีละ 10% โดยเฉพาะในกลุ่มลูกค้าเดิมที่มีการออกผลิตภัณฑ์ใหม่และใช้วัตถุดิบมากขึ้น โดยในช่วงสองเดือนแรกของปีนี้ก็มีคำสั่งซื้อเข้ามามากกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน

นอกจากนี้บริษัทตั้งเป้าที่จะใช้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นเป็น 75% ภายในปีนี้ และคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 10% ในทุกปี โดยบริษัทคาดว่าในปี 62 จะมีอัตราการใช้กำลังการผลิตสูงขึ้นไปถึง 95% เพื่อให้เกิดการประหยัดต่อขนาด (Economy of scale) และมีการบริหารจัดการต้นทุนได้ดี ส่งผลให้อัตรากำไรสุทธิสูงขึ้นไปอยู่ไม่ต่ำกว่า 10% จากปัจจุบันอยู่ที่ 5.15%

พร้อมกันนี้ หากบริษัทสามารถใช้กำลังการผลิตขึ้นไปถึง 80% ก็มีแผนผลิตแป้งสาลีขนาดกระสอบละ 1 กิโลกรัมเพื่อขยายตลาดไปยังกลุ่มรายย่อยมากขึ้น ซึ่งเชื่อว่าจะช่วยผลักดันให้อัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทฯเพิ่มขึ้นด้วย เนื่องจากอัตรากำไรขั้นต้นในกลุ่มลูกค้ารายย่อยสูงถึง 30% เทียบกับลูกค้าอุตสาหกรรมอยู่ที่เพียง 15% โดยในปีนี้บริษัทตั้งงบลงทุนไว้ราว 5-6 ล้านบาท เพื่อใช้ในการซื้อหัวรถลาก 1 หัว มูลค่า 4-5 ล้านบาท และใช้เป็นงบในการงานวิจัยและพัฒนา 1 ล้านบาท เพื่อพัฒนาสินค้าใหม่ๆ เช่น แป้งประเภทไร้กลูเตน(Gluten Free)

สำหรับแผนการแตกไลน์การผลิตใหม่ไปยังสินค้าปลายน้ำว่า ปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างเจรจากับพันธมิตรในต่างประเทศ โดยเบื้องต้นมีแผนให้พันธมิตรเข้ามาร่วมทุนตั้งโรงงานผลิตในพื้นที่ระเบียงเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เพื่อส่งออกสินค้าไปจำหน่ายยังประเทศจีน และกลุ่มประเทศอาเซียน แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้

นอกจากนี้บริษัทอยู่ระหว่างพิจารณาแผนการลงทุนใหม่ใน 2-3 ปีข้างหน้า โดยมองไว้ 2 แนวทางคือ การลงทุนขยายกำลังการผลิตแป้งสาลีเป็น 1 พันตัน/วัน จากเดิม 500 ตัน/วัน หรืออาจลงทุนพัฒนาสินค้าเพิ่มมูลค่าจากแป้งสาลีเดิมเพื่อลดการพึ่งพาตลาดแป้งสาลี ทั้งนี้ บริษัทจะมองหาแหล่งเงินทุนจากการกู้สถาบันทางการเงิน เงินสดที่มีอยู่ในมือ การออกหุ้นกู้ หรือหากผู้ถือหุ้นมีความพร้อมที่จะลงทุน บริษัทก็อาจจะเลือกวิธีการเพิ่มทุนจดทะเบียนได้ แต่อย่างไรก็ตาม ต้องพิจารณาความเหมาะสมอีกครั้ง