KTAM ขาย KTFF140 ชูดอกเบี้ย 1.45%
KTAM ออกกองตราสารหนี้ KTFF140 อายุ 6 เดือน ชูดอกเบี้ย 1.45% เสนอขายถึงวันที่ 3 เม.ย.60 อายุ 6 เดือน มูลค่าโครงการ 1 หมื่นลบ.
นางชวินดา หาญรัตนกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTAM เปิดเผยว่า บริษัทเปิดจำหน่าย กองทุนเปิดกรุงไทยตราสารหนี้ เอฟไอเอฟ 140 หรือKTFF140 เสนอขายตั้งแต่วันนี้ ถึงวันที่ 3 เมษายน 2560 อายุ 6 เดือน มูลค่าโครงการ 10,000 ล้านบาท เน้นลงทุนตราสารหนี้ต่างประเทศ ประเภทเงินฝากประจำ Bank of China , Macau Branch
โดยมีอัตราผลตอบแทน 1.75 % ต่อปี , China Construction Bank (Asia) Corporation Limited อัตราผลตอบแทน 1.80% ต่อปี , Agricultural Bank of China (Hong Kong Branch ) อัตราผลตอบแทน 1.80% ต่อปี , AI Khalij Commercial Bank อัตราผลตอบแทน 1.72% ต่อปี , Union National Bank อัตราผลตอบแทน 1.70% ต่อปี และ Qatar Nation Bank อัตราผลตอบแทน 1.68% ต่อปี
ขณะที่กองทุนจะลงทุนในสัดส่วนสถาบันการเงินละ 18% ยกเว้น เงินฝากประจำ Qatar Nation Bank ลงทุน 10% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน และมีค่าใช้จ่ายประมาณ 0.30% ต่อปี ดังนั้น ผู้ลงทุนมีโอกาสได้รับผลตอบแทนประมาณ 1.45%ต่อปี กองทุนมีนโยบายป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวน
สำหรับอัตราผลตอบแทนของตราสารหนี้ในประเทศ มีการปรับตัวขึ้นลงในช่วงแคบ ตามแรงซื้อขายของนักลงทุนในแต่ละช่วงอายุ โดยตลาดตอบรับการประมูลพันธบัตรรัฐบาลรุ่นอายุคงเหลือ 10 ปี ค่อนข้างดี โดยมี Bid Coverage Ratio 2.13 เท่า ในสัปดาห์ที่ผ่านมานักลงทุนต่างชาติเป็นยอดซื้อสุทธิจำนวน 11,942 ล้านบาท
ส่วนอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอเมริกามีการปรับตัวเพิ่มขึ้นในตราสารอายุต่ำกว่า 1 ปี ในขณะที่ตราสารอายุตั้งแต่ 2 ปีขึ้นไปอัตราผลตอบแทนปรับตัวลดลงจากแรงซื้อ หลังจากอัตราผลตอบแทนในช่วงก่อนหน้าได้มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นตอบรับ (Price in) กับการขึ้นดอกเบี้ยครั้งนี้และครั้งหน้าไปแล้ว ท่ามกลางความไม่แน่นอนด้านผลกระทบจากนโยบายการคลังของประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาหลังสภาผู้แทนสหรัฐอเมริกายกเลิกการโหวต America Health Care Bill เนื่องจากเสียงสนันสนุนยังไม่พอ
โดยสรุปอัตราผลตอบแทนของตราสารหนี้อายุคงเหลือ 2 ปี ปรับตัวลดลง 7 bps.มาอยู่ที่ 1.26% ต่อปี อายุคงเหลือ 5 ปี ปรับตัวลดลง 10 bps.มาอยู่ที่ 1.93% ต่อปี และอายุคงเหลือ 10 ปี ปรับตัวเลดลง 10 bps.มาอยู่ที่ 2.40% ต่อปี สำหรับปัจจัยที่ต้องติดตามจะเป็นการดำเนินนโยบายการคลังของสหรัฐอเมริกา แนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาและเศรษฐกิจโลกในระยะเวลาข้างหน้า ผลกระทบของ Brexit ต่อ EU และสถานการณ์การเมืองระหว่างประเทศ