ปริศนาของฟันด์โฟลว์
เมื่อวานนี้ ข่าวจากสำนักพระราชวังเรื่องพิธีพระราชทานรัฐธรรมนูญ ทำให้แรงซื้อดันดัชนีตลาดเป็นบวก ปิดเหนือ 1,580 จุดได้อีกครั้ง ท่ามกลางการซื้อขายที่เบาบางแค่ 3.11 หมื่นล้านบาท ในขณะที่ต่างชาติ มีตัวเลขซื้อสุทธิวานนี้เกือบ 1.3 พันล้านบาท และซื้อสุทธิในตราสารหนี้อีกมากกว่า 1.35 หมื่นล้านบาท
พลวัตปี 2017 : วิษณุ โชลิตกุล
เมื่อวานนี้ ข่าวจากสำนักพระราชวังเรื่องพิธีพระราชทานรัฐธรรมนูญ ทำให้แรงซื้อดันดัชนีตลาดเป็นบวก ปิดเหนือ 1,580 จุดได้อีกครั้ง ท่ามกลางการซื้อขายที่เบาบางแค่ 3.11 หมื่นล้านบาท ในขณะที่ต่างชาติ มีตัวเลขซื้อสุทธิวานนี้เกือบ 1.3 พันล้านบาท และซื้อสุทธิในตราสารหนี้อีกมากกว่า 1.35 หมื่นล้านบาท
การซื้อสุทธิของต่างชาติ เป็นข่าวดีเสมอ อย่างน้อยก็เบาใจได้ว่า ฟันด์โฟลว์ต่างชาติยังไม่ไหลออก แต่หากจะถามต่อไปว่า ต่างชาติจะเข้ามายาวนานแค่ไหน จนเกิดภาวะกระทิงรอบใหม่ในตลาดหุ้นไทยได้หรือไม่
คำตอบคือคงไม่ถึงขนาดนั้น
ข้อเท็จจริงว่าด้วยฟันด์โฟลว์ต่างชาติในปีนี้ ระบุว่า ต่างชาติระมัดระวังอย่างยิ่งกับตลาดหุ้นไทย เพราะขีดจำกัดของขาขึ้นสูงมาก จากการที่เศรษฐกิจภายในของไทยไม่โตมากกว่าปีก่อนชนิดเห็นได้ชัด ภาคการส่งออกและเงินเฟ้อในประเทศทรงตัว ทำให้ค่าพี/อี เฉลี่ยของตลาดหุ้นไทยที่สูงกว่าตลาดในอาเซียน
ตัวเลขซื้อสุทธิสะสมของต่างชาตินับแต่ต้นปีจนถึงล่าสุดวานนี้ อยู่ที่ระดับเพียงแค่ 7.530 ล้านบาทเท่านั้น บ่งบอกได้ดีว่า ต่างชาติจะไม่เข้ามายาวนานเหมือนบางช่วงของปีที่ผ่านมา ซึ่งยังผลให้แรงขับขาขึ้นของตลาดหุ้นไทย มีขีดจำกัดอย่างมาก และมีความเปราะบางซ่อนอยู่
ความเปราะบางที่สำคัญคือ กระแสฟันด์โฟลว์ขาเข้ายามนี้ของต่างชาติเกิดจากตัวแปรชั่วคราวจากการที่มีความกังวลเกี่ยวกับขีดจำกัดในการผลักดันนโยบายเศรษฐกิจของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ขณะที่การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสหรัฐยังไม่มีท่าทีเร่งร้อน หลังจากสายพิราบของเฟดยังออกมาแสดงท่าทีในทิศทางที่ไม่สนับสนุนให้รีบปรับขึ้น ทำให้ค่าดอลลาร์อ่อนตัวลงรวดเร็ว แม้ว่าเฟดจะเพิ่งปรับขึ้นดอกเบี้ยในกลางเดือนมีนาคมที่ผ่านมา
จะเห็นได้ชัดว่า ปัจจัยที่เป็นแรงหนุนจากทิศทางไหลเข้าของฟันด์โฟลว์ยามนี้ เป็นปัจจัยเฉพาะหน้าที่ไม่ยั่งยืน พร้อมที่จะไหลออกได้ทุกเมื่อ เป็นเพียงแค่การถอนหายใจเฮือกใหญ่ของเงินทุน หลังจากที่มีการไหลเข้าสหรัฐค่อนข้างมากในช่วงก่อนหน้า นับตั้งแต่ทราบผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐนานถึง 4 เดือน
การปรับเปลี่ยนทิศของทุนเก็งกำไรที่นับแต่กลางเดือนมีนาคม ได้ไหลออกจากสหรัฐสู่ประเทศที่ทิศทางเศรษฐกิจมีความมั่นคงกว่า ซึ่งมีไทยเป็นหนึ่งในเป้าหมายสำคัญเพราะมีทุนสำรองเงินตราระหว่างประเทศแข็งแกร่ง
นอกจากนี้ นักวิเคราะห์ในตลาดอัตราแลกเปลี่ยนที่ศูนย์กลางการเงินเอเชียหลายแห่ง รวมทั้งในโตเกียว ฮ่องกง และสิงคโปร์ เริ่มเปลี่ยนปรับมุมมองบวกต่อค่าเงินในเดือนเมษายนนี้เพิ่มขึ้น ทำให้มีการประเมินว่าเม็ดเงินฟันด์โฟลว์ของต่างชาติยังมีโอกาสจะไหลเข้าไทยต่อเนื่อง เพียงแต่ภาพดังกล่าวจะเป็นจิตวิทยาของการเก็งกำไรที่ไม่ยั่งยืน และพร้อมจะปรับเปลี่ยนในพริบตาได้ หากมีข้อมูลเปลี่ยนไปจากเดิม
ยอดซื้อสุทธิของนักลงทุนต่างชาติในตลาดหุ้นไทยที่ซื้อ 11 วันติดต่อกันจนถึงวานนี้ จึงเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่ปกติ โดยฉวยจังหวะของการทำวินโดว์ เดรสซิ่งในปลายเดือนมีนาคมเป็นตัวจุดปะทุ ซึ่งเคยปรากฏเหตุการณ์ทำนองนี้มาแล้ว
ตัวถ่วงที่สำคัญที่จะทำให้ฟันด์โฟลว์ไหลเข้าชะลอตัวลง มาจากพื้นฐานของหุ้นบริษัทจดทะเบียนต่างๆ ที่เริ่มมีค่าพี/อี สูงเกินพื้นฐาน เพราะกำไรจากการดำเนินงานของกิจการโดยรวม ไม่ได้สูงมากเพียงพอ จนกระทั่งหุ้นบลูชิพจำนวนมากเริ่มมีราคาหุ้นมักจะผันผวนตามภาวะตลาดรุนแรงมากขึ้น ในขณะที่การลงทุนเพื่อหวังผลตอบแทนจากปันผลเริ่มมีความชัดเจนน้อยลง
การเลือกลงทุนเก็งกำไรในช่วงระยะเวลาสั้นๆ ยามนี้ และอาจจะตลอดปีนี้ จึงกลายเป็นความปลอดภัยมากกว่าการลงทุนระยะยาว หรือหวังเงินปันผล
หนึ่งในกระแสที่เห็นได้ชัดเจนคือการที่บรรดาผู้จัดการกองทุนขนาดใหญ่ เริ่มหันเหความสนใจจากหุ้นขนาดใหญ่หรือบลูชิพในตลาด มาหาหุ้นขนาดกลางและเล็กที่มีสภาพคล่องพอสมควร เพื่อทำการหากำไรตอบแทนจากการลงทุนช่วงสั้นๆ มากขึ้น
ที่น่าสนใจอีกประการหนึ่งก็คือแม้ต่างชาติจะหอบเงินลี้ภัยจากดอลลาร์อ่อนเข้ามาชั่วคราว แต่การดักคอของกองทุนและรายย่อยในประเทศที่พร้อมขายสกัดขาขึ้นของตลาด ก็ยังคงเป็นประเด็นคำถามที่ทำให้มีปริศนาตามมาว่า วอลุ่มซื้อขายที่ต่ำมาก ระดับไม่เกิน 3.5 หมื่นล้านบาทต่อวันโดยเฉลี่ย จะทำให้ขาขึ้นทะลวงผ่าน 1,600 จุดขึ้นไปได้อย่างไรกัน
ที่ร้ายกว่านั้น ขีดจำกัดขาขึ้นจากการที่นักวิเคราะห์ที่ช่ำชองประเมินว่า จุดสูงสุดของดัชนี SET สิ้นปี 2560 นี้ น่าจะไม่เกิน 1,620 จุด ก็เป็นคำถามที่ท้าทายไม่น้อยเช่นกันว่า เร็วเกินไปที่ดัชนีจะข้ามแนวต้านขึ้นไปถึงเป้าหมายในเดือนเมษายนนี้
ทั้งหมดนี้ ยังไม่มีคำตอบในระยะอันสั้น