ABC เตรียมสรุปซื้อคอนโดฯแห่งใหม่สรุปใน Q2 วางแผนตั้งกอง REIT ในปี 61
ABC เตรียมสรุปซื้อคอนโดฯแห่งใหม่สรุปใน Q2/60 ลุยเจรจาขาย "ABOVE Sukhumvit 39" มูลค่า 2.5 พันลบ. เร่งขยายพันธมิตร WeChat Pay วางแผนตั้งกอง REIT ภายในปี 61
นายเปรมชัย กุศลฤกษ์ดี รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท แอสเซท ไบร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ ABC เปิดเผยว่า บริษัทอยู่ระหว่างการเจรจาเพื่อซื้อโครงการคอนโดมิเนียมแห่งหนึ่งเข้ามาเพื่อขายต่อ โดยคาดว่าจะได้ข้อสรุปการซื้อและขายโครงการดังกล่าวในช่วงไตรมาส 2/60 นอกจากนี้ยังเจรจากับนักลงทุนรายใหญ่ 1 ราย เพื่อขายโครงการคอนโดมิเนียม ABOVE Sukhumvit 39 มูลค่า 2.5 พันล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในครึ่งปีแรกของปีนี้
ทั้งนี้หากบริษัทสามารถเจรจาซื้อและขายโครงการอสังหาริมทรัพย์ทั้ง 2 โครงการได้สำเร็จตามแผน จะส่งผลให้แนวโน้มรายได้ในปี 60 จะสูงกว่าปีก่อนที่มีรายได้ 56.21 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันรายได้เกือบทั้งหมดของบริษัทมาจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์
“เร็ว ๆ นี้ก็คงมีข่าวดีใหม่ เพราะตอนนี้เรากำลังคุย ๆ อยู่ในเรื่องของการซื้อโครงการอสังริมทรัพย์ที่เป็นคอนโดมิเนียมเข้ามาแล้วก็ขาย แต่ยังบอกรายละเอียดอะไรมากไม่ได้ ก็คาดว่าดีลนี้จะจบในไตรมาส 2 นี้ ส่วนโครงการ ABOVE Sukhumvit 39 ก็จะขายโครงการให้กับนักลงทุนรายใหญ่ที่เราเจรจาอยู่ ซึ่งหากดีลทุกอย่างได้ข้อสรุปเสร็จสิ้นในครึ่งปีแรกนี้ก็จะเห็นผลงานของบริษัทเติบโตโดดเด่น” นายเปรมชัย กล่าว
นอกจากนี้บริษัทวางแผนจะจัดตั้งกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) ภายในปี 61 ซึ่งจะเป็นการนำอาคารสำนักงาน ABC World ย่านรามคำแหง พื้นที่เช่า 25,000 ตารางเมตร เป็นสินทรัพย์ขายเข้ากอง REIT ในส่วนแรก โดยโครงการอาคารสำนักงานดังกล่าวมีมูลค่า 1.6 พันล้านบาท และแนวโน้มของอัตราการเช่าพื้นที่ค่อย ๆ ทยอยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งบริษัทคาดว่าภายในปี 61 จะมีอัตราการเช่าพื้นที่เพิ่มขึ้นเป็น 80% จากปัจจุบันมีอัตราการเช่าพื้นที่อยู่ที่ 20%
ด้านธุรกิจการให้บริการชำระเงิน (e-payment) ผ่านระบบ WeChat Pay ที่บริษัทได้ร่วมการพัฒนาการให้บริการการชำระเงินบนโทรศัพท์มือถือกับบริษัท เคเชอร์ จำกัด มีแนวโน้มของจำนวนร้านค้าที่ติดตั้งระบบการชำระเงินผ่าน WeChat Pay เพิ่มมากขึ้น โดยปัจจุบันมีจำนวนร้านค้าที่ติดตั้งระบบการชำระเงินผ่าน WeChat Pay ของบริษัทแล้วจำนวนกว่า 500 ร้านค้า ตั้งแต่เปิดให้บริการมาในช่วงปลายไตรมาส 4/59 ที่ผ่านมา โดยบริษัทตั้งเป้าเพิ่มจำนวนร้านค้าที่ติดตั้งระบบการชำระเงินผ่าน WeChat Pay ภายในปีนี้เพิ่มเป็น 3,000 ร้านค้า และเพิ่มเป็น 10,000 ร้านค้า ภายในปี 61
โดยบริษัทมีกลยุทธ์ในการขยายจำนวนร้านค้าที่ให้บริการระบบการชำระเงินผ่าน WeChat Pay ในหัวเมืองท่องเที่ยวต่าง ๆ เพื่อเข้าถึงนักท่องเที่ยวชาวจีนที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยเป็นจำนวนมาก ซึ่งประชากรจีนใช้แอพพลิเคชั่น WeChat ในการสนทนามากที่สุด ซึ่งมีจำนวน Account กว่า 800 ไอดี ซึ่งนับเป็น Account ที่ไช้บริการ WeChat Pay ที่ใช้ชำระค่าบริการสินค้า สั่งสินค้า โอนเงิน และชำระค่าบริการต่าง ๆ ผ่านระบบออนไลน์บนมือถือได้โดยตรงกับร้านค้า
ทั้งนี้ตั้งแต่เริ่มเปิดให้บริการ WeChat Pay บริษัทได้ขยายกลุ่มลูกค้าไปไนร้านค้า ร้านอาหาร ร้านขายยา และโรงแรมขนาดเล็กในจังหวัดท่องเที่ยวต่าง ๆ และอีกกลยุทธ์ที่สำคัญในการขยายช่องทางการชำระเงินผ่านระบบ WeChat Pay คือการทำข้อตกลงกับพันธมิตรที่เป็นผู้ประกอบการโรงแรมในประเทศไทยรายใหญ่ให้เพิ่มขึ้น
ล่าสุด เริ่มทำข้อตกลงการเป็นพันธมิตรกับเครือโรงแรมดุสิตธานี ถือเป็นโรงแรมรายใหญ่แห่งแรกในไทยที่เปิดให้บริการรับชำระเงินผ่าน WeChat Pay สำหรับห้องพัก ค่าอาหาร และสปา เบื้องต้นใน 8 โรงแรม ได้แก่ ดุสิตธานีกรุงเทพ, ดุสิตธานีหัวหิน, ดุสิตธานีลากูน่าภูเก็ต, ดุสิตธานีพัทยา, ดุสิตธานีดีทูเชียงใหม่, ดุสิตปริ๊นเซสศรีนครินทร์, ดุสิตปริ๊นเซสเชียงใหม่ และดุสิตปริ๊นเซสโคราช และในอนาคตจะขยายไปยังโรงแรมอื่น ๆ ในเครือตามต่างประเทศอีกด้วย
นอกจากนี้ บริษัทอยู่ระหว่างการเจรจากับสมาคมธุรกิจโรงแรมเพื่อร่วมเป็นพันธมิตรที่จะให้บริการและอำนวยความสะดวกลูกค้าชาวจีนในการชำระเงินผ่านระบบ WeChat Pay และมีการเจรจากับเครือโรงแรมอีก 2-3 แห่ง คาดว่าจะได้ข้อสรุปชัดเจนในช่วงครึ่งปีหลัง ขณะที่คาดว่ายอดการใช้จ่ายผ่านระบบ WeChat Pay ของนักท่องเที่ยวชาวจีนในประเทศไทยผ่านระบบการชำระของบริษัทในปีนี้จะเพิ่มเป็น 120 ล้านบาท/เดือน จากปีก่อนที่ 100 ล้านบาท/เดือน จากการขยายช่องทางการให้บริการเพิ่มมากขึ้น
“เรากำลังก้าวสู่อนาคตที่ปราศจากการใช้เงินสด โดยที่ธุรกรรมต่าง ๆ จะทำผ่านระบบออนไลน์ทั้งหมด ซึ่งระบบ WeChat Pay จะช่วยอำนวยความสะดวกแก่ลูกค้าชาวจีนที่เดินทางมาท่องเที่ยวในประเทศไทยสามารถจับจ่ายซื้อสินค้าและบริการได้สะดวกมากขึ้น มีการไช้ที่ง่ายและมีความปลอดภัย อีกทั้งยังไม่ต้องแลกเปลี่ยนสกุลเงินให้เสียเวลา เราจึงเชื่อว่าบริการนี้จะส่งเสริมให้เกิดการจับจ่ายผ่านออนไลน์มากขึ้นและเอื้อประโยชน์ต่อทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง” นายเปรมชัย กล่าว
อย่างไรก็ตาม ธุรกิจ e-payment ยังคงไม่ใช่ธุรกิจที่สร้างรายได้หลักให้กับบริษัท เพราะรายได้จากการให้บริการผ่านการชำระเงิน WeChat Pay ที่ได้เป็นค่าคอมมิชชั่นอยู่ในระดับที่ไม่สูงมาก แต่ช่วยเสริมสร้างผลตอบแทนให้กับบริษัทในระดับหนึ่ง และคาดว่าสัดส่วนรายได้จะอยู่ในระดับเพียงไม่ถึง 10% โดยรายได้หลักของบริษัทยังคงมาจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์