RATCH คาดM&AธุรกิจพลังงานคืบในQ3/60ดันกำลังผลิตเข้าเป้า7,500MW ปีนี้
RATCH คาดM&AธุรกิจพลังงานคืบในQ3/60ดันกำลังผลิตเข้าเป้า 7,500 MW ปีนี้
นายกิจจา ศรีพัฑฒางกุระ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ผลิตไฟฟ้าราชบุรีโฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ RATCH เปิดเผยว่า บริษัทอยู่ระหว่างเจรจากับพันธมิตรเพื่อลงทุน หรือเข้าซื้อกิจการ (M&A) ในธุรกิจพลังงานหลายโครงการ ซึ่งจะครอบคลุมระดับต้นน้ำและปลายน้ำ โครงการตั้งอยู่ในกลุ่มอาเซียนที่มีศักยภาพ เช่น อินโดนีเซีย,ฟิลิปปินส์,เมียนมา และลาว เป็นต้น คาดว่าในช่วงไตรมาส 3/60 น่าจะเห็นความคืบหน้าของการลงทุนดังกล่าว เพื่อผลักดันกำลังการผลิตไฟฟ้าเทียบเท่าให้เติบโตถึงเป้าหมาย 7,500 เมกะวัตต์ (MW) ในปีนี้
นอกเหนือจากในช่วงที่ผ่านมาที่มีการลงทุนโครงการพลังงานแสงในออสเตรเลียเพิ่มขึ้นอีก 1 โครงการ ขณะที่อีก 2 โครงการ คือการลงทุนโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลืองและสีชมพู และโครงการโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ Riau อินโดนีเซีย ซึ่งอยู่ในขั้นตอนสุดท้ายของกระบวนการลงทุน หากกระบวนการนี้เสร็จสมบูรณ์ บริษัทจะมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นจากทั้งสองโครงการอีกประมาณ 314.75 เมกะวัตต์ ส่งผลให้กำลังการผลิตไฟฟ้าในมือที่ลงทุนแล้วเพิ่มขึ้นเป็น 7,300 เมกะวัตต์ จากปัจจุบันที่มีอยู่ 6,980 เมกะวัตต์ ซึ่งจำนวนนี้เป็นโครงการที่เดินเครื่องผลิตเชิงพาณิชย์ (COD) แล้วราว 6,500 เมกะวัตต์
นอกจากนี้ บริษัทยังมีความสนใจที่จะเข้าลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง ทั้งการลงทุนเองและการเข้าร่วมลงทุน (JV) เช่น ผลิตแบตเตอรี่เพื่อใช้ในระบบสะสมพลังงาน (Energy Storage) และการพัฒนาเครือข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ (Smart Grid) ซึ่งอยู่ระหว่างศึกษาข้อมูล เนื่องจากกลุ่มดังกล่าวเป็นกลุ่มที่มีการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีที่ค่อนข้างเร็ว ซึ่งหากดำเนินการไม่รอบคอบอาจมีความเสี่ยงที่จะขาดทุนได้ ขณะเดียวกันก็อยู่ระหว่างการเจรจาในธุรกิจน้ำประปา ในลาว แต่ยังไม่มีความคืบหน้า
สำหรับแผนงานในปีนี้ บริษัทมุ่งเน้นดำเนินการใน 4 ด้านที่สำคัญ คือ การผลักดันการเติบโตของกำลังผลิตให้ถึง 7,500 เมกะวัตต์ตามเป้าหมาย ,เพิ่มอัตราผลตอบแทนของสินทรัพย์ โดยการบริหารจัดการให้โรงไฟฟ้าต่าง ๆ เดินเครื่องผลิตไฟฟ้าให้ได้ครบตามสัญญา เพื่อรักษาความมั่นคงของรายได้ ,วางแผนการเงินรองรับการลงทุนระยะยาว และกระจายการลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับพลังงานและนอกภาคพลังงานให้เป็นรูปธรรม เพื่อสร้างฐานธุรกิจของบริษัทฯให้มีความมั่นคงและแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น
บริษัทจะเร่งรัดและติดตามโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง 5 แห่ง กำลังผลิตตามการถือหุ้น รวม 551.5 เมกะวัตต์ ให้แล้วเสร็จตามกำหนดเวลาเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ ได้แก่ โครงสร้างพัลงงานแสงอาทิตย์ Collinsville ในออสเตรเลีย กำลังการผลิต 42.5 เมกะวัตต์ (ถือหุ้น 80%) ซึ่งคาดว่าจะเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ได้ในเดือนพ.ค.61 ,โครงการพลังงานลม Mount Emerald ออสเตรเลีย กำลังการผลิต 180 เมกะวัตต์ (ถือหุ้น 80%) คาดเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ได้ เดือนก.ย.61
โครงการพลังงานน้ำ เซเปียน เซน้ำน้อย ในลาว กำลังการผลิต 410 เมกะวัตต์ (ถือหุ้น 25%) คาดว่าจะเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ได้ในเดือนก.พ.62 ,โครงการเบิกไพรโคเจนเนอเรชั่น จ.ราชบุรี กำลังการผลิต 100 เมกะวัตต์ และผลิตไอน้ำ 15 ตันต่อชั่วโมง (ถือหุ้น 35%) ที่คาดว่าจะเดินเครื่องได้ภายในมิ.ย.62 และโครงการโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟังเซงกัง เฟส 2 ในสาธารณรัฐประชาชนจีน กำลังการผลิต 2,360 เมกะวัตต์ (ถือหุ้น 10%) กำหนดเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ในปี 64
สำหรับผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 1/60 บริษัทมีรายได้จำนวน 10,590 ล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นรายได้ค่าขายไฟจากโรงไฟฟ้าราชบุรี, ไตรเอนเนอจี้ และบริษัท ราช-ออสเตรเลีย คอร์ปอเรชั่น จำกัด จำนวน 8,785 ล้านบาท คิดเป็น 83% ของรายได้รวม นอกจากนี้ยังมีรายได้จากส่วนแบ่งกำไรของกิจการร่วมทุนจำนวน 527 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 47% ส่วนต้นทุนและค่าใช้จ่ายรวม มีจำนวน 8,848 ล้านบาท ลดลง 26% ส่งผลให้มีกำไรสุทธิ 1,358 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8% จากงวดเดียวกันของปีก่อน