EARTH ผีซ้ำด้ำพลอย
การแถลงข่าวกะทันหันเพราะเจอมรสุมหลายด้านพร้อมกันของผู้บริหาร บริษัท เอ็นเนอร์ยี่ เอิร์ธ จำกัด (มหาชน) หรือ EARTH นำโดย “ไอ้หนุ่มเมืองแป้” นายขจรพงศ์ คำดี ซีอีโอใหญ่ มีแกนหลักเพื่ออธิบายอนาคต 3 เรื่องพร้อมกันคือ 1) การร่วงติดฟลอร์ของราคาหุ้น 2 วันตอนปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา 2) ความสัมพันธ์ระหว่างผู้บริหารที่มีข่าวลือว่าขัดแย้งกันหนัก 3) เหตุผลของการขาดทุนไตรมาสแรก
แฉทุกวันทันเกมหุ้น
การแถลงข่าวกะทันหันเพราะเจอมรสุมหลายด้านพร้อมกันของผู้บริหาร บริษัท เอ็นเนอร์ยี่ เอิร์ธ จำกัด (มหาชน) หรือ EARTH นำโดย “ไอ้หนุ่มเมืองแป้” นายขจรพงศ์ คำดี ซีอีโอใหญ่ มีแกนหลักเพื่ออธิบายอนาคต 3 เรื่องพร้อมกันคือ 1) การร่วงติดฟลอร์ของราคาหุ้น 2 วันตอนปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา 2) ความสัมพันธ์ระหว่างผู้บริหารที่มีข่าวลือว่าขัดแย้งกันหนัก 3) เหตุผลของการขาดทุนไตรมาสแรก
ถือว่าเป็นจังวะ “ผีซ้ำด้ำพลอย” ที่ถาโถมเข้ามาพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
เริ่มต้นการแถลงข่าววานนี้ เสี่ยขจรพงศ์ ยกเอากรณีที่ราคาหุ้น EARTH ปรับตัวลงแรงในสัปดาห์ที่ผ่านมา ว่า จุดเริ่มต้นมาจาก บทวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ต่างประเทศ ที่ระบุว่าธุรกิจถ่านหินเข้าสู่ช่วงตกต่ำ และราคาถ่านหินมีแนวโน้มลดลง ทำให้ธุรกิจถ่านหินจะมีผลกระทบในด้านผลการดำเนินงานที่ลดลง
บทวิเคราะห์ส่งผลให้นักลงทุนเกิดความตกใจ โดยเฉพาะนักลงทุนที่ถือหุ้น EARTH ซึ่งเป็นธุรกิจถ่านหิน บนกระดาน Futures ในต่างประเทศ (ที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหุ้นแฟรงค์เฟิร์ต เยอรมนี) ของนักลงทุนยุโรปกลุ่มหนึ่ง ทำให้มีแรงขายออกมาและฉุดราคาหุ้นร่วงในช่วงแรกๆ
ผลพวงจากยุโรป ลุกลามมาเร็วเกินคาด เพราะราคาหุ้นที่ร่วงแรงขยายวงถึงราคาในตลาดหุ้นไทย และมีผลให้หุ้นของผู้ถือหุ้นใหญ่และผู้บริหาร (รวมทั้งตัวนายขจรพงศ์เอง) ถูกบังคับขาย หรือ forced selling เพราะได้นำหุ้น EARTH ไปค้ำประกันบัญชีมาร์จิ้น เพื่อนำเงินจำนวน 1 พันล้านบาท มาลงทุนในธุรกิจส่วนตัว
เนื่องจากสัดส่วนหุ้นผู้บริหารที่ถูก forced selling ออกมาคิดเป็นสัดส่วนมากถึง 15% หรือประมาณ 530.4 ล้านหุ้น จึงไม่แปลกที่จะมีข่าวลือแพร่สะพัดว่าผู้บริหารขัดแย้งกันเอง…..แข่งกันขายทิ้ง (เหมือนกรณีก่อนหน้านี้ กับหุ้นบางตัวในตลาดหุ้นไทย)
ผลลัพธ์คือ แรงขายของใครต่อใคร จึงมะรุมมะตุ้มออกมาชนิดไม่มียั้ง 2 วันรวด
ช่วยไม่ได้จริงๆ เจ้าของใหญ่ขาย แมงเม่าจะดูดาย ไม่เป็น “กระต่ายตื่นตูม” ได้อย่างไร
นายขจรพงศ์ระบุว่า หากไม่ติดกับดักเรื่อง forced selling ผู้บริหารก็ไม่มีทางขายหุ้นออกมา เพราะล่าสุดรวมๆ แล้วตระกูลคำดี และ พิหเคนทร์ ยังมีสัดส่วนการถือหุ้นรวมกัน จากเดิมที่ 45% มาเหลืออยู่ประมาณ 30% ซึ่งเท่ากับทำให้การบังคับขายได้สิ้นสุดลงแล้ว
ว่าแล้ว 3 ทหารเสืออย่าง นายขจรพงศ์ คำดี นายวิบูลย์ พิหเคนทร์ และ นายธนาวรรธน์ ประทุมสุวรรณ์ ที่ออกมาแถลงข่าววานนี้ร่วมกัน จึงต้องชักรูปจับมือแน่นหนาเพื่อยืนยันย้ำว่า งานนี้ ยังหวานชื่น ไม่มีทะเลาะถึงขั้นวงแตก ..แต่อาจจะต้องมีเถียงกันบ้างในการทำงาน (ตามปกติ)
เสี่ยขจรพงศ์ยังบอกใบ้อีกว่า หากกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่สามารถนำเงินไปชำระหนี้บัญชีมาร์จิ้นได้ และมีสถานะทางการเงินที่เพียงพอ ก็ยังคงสนใจจะเข้าเก็บหุ้น EARTH เพิ่มเติมทั้งในกระดานและการซื้อหุ้นคืน เพราะยังเห็นโอกาสการเติบโตของบริษัทอีกมากในอนาคต
ก็..รักซะอย่าง ใครจะทำไม
ทางด้านนายธนาวรรธน์ ในฐานะกรรมการผู้จัดการ ออกมาระบุว่า ตัวเลขขาดทุนสุทธิไตรมาสแรกของปีนี้จำนวน 68.93 ล้านบาท เป็นผลระยะสั้นเพราะได้รับผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนจำนวนสูงถึง 431.40 ล้านบาท จากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น ทั้งที่หากไม่รวมอัตราแลกเปลี่ยน จะมีกำไรจากการดำเนินงานมากถึง 272.47 ล้านบาท
กำไรปกติดังกล่าว มาจากรายได้รวมโต 7,860.13 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 110.33% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีแค่ 4,123.14 ล้านบาท โดยมีรายได้จากการขายต่างประเทศเพิ่มขึ้น 107.87% มาที่ระดับ 6,484.57 ล้านบาท เพราะรับอานิสงส์ดีมานด์ถ่านหินพุ่ง และออเดอร์ไม่ขาดมือ แถมพ่วงด้วยราคาปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
ในระยะยาวแล้ว นายธนาวรรธน์ย้ำว่า ขอให้ผู้ถือหุ้นมองข้ามข่าวร้าย และเชื่อมั่นว่าธุรกิจยังมั่นคง อนาคตสดใส และสถานะทางการเงินยังแข็งแกร่ง ยังมีปัจจัยบวกรอเพียบ พร้อมก้าวสู่โหมดเทิร์นอะราวด์ หนุนผลงานปี 2560 เติบโตก้าวกระโดดแตะ 3 หมื่นล้านบาท เพราะมีปริมาณการจัดจำหน่ายถ่านหินมากถึง 15 ล้านตัน
พูดง่ายๆ คือ อุบัติเหตุรอบนี้ของทั้งราคาและกำไรหุ้น EARTH คราวนี้สะท้อนบทเรียนว่า การเร่งเติบโตรวดเร็วเกินไป แม้จะขยันแค่ไหน ก็พาตนเองไปสู่สถานการณ์สุ่มเสี่ยงได้เสมอ
เข้าตำรา “เร็วนัก มักได้แร่”
ถือว่าฟาดเคราะห์เล็กๆ ไป…ก็แล้วกัน
สี่เท้ายังรู้พลาด นักปราชญ์ย่อมมีวันรู้พลั้ง
“อิ อิ อิ”