การเมืองสไตล์ทรัมป์

สัปดาห์นี้ คือสัปดาห์ของโดนัลด์ ทรัมป์อย่างแท้จริง โลกกำลังกลับมาตกอยู่ใต้บงการของเขาและพวกอีกครั้ง


พลวัตปี 2017 : วิษณุ โชลิตกุล

สัปดาห์นี้ คือสัปดาห์ของโดนัลด์ ทรัมป์อย่างแท้จริง โลกกำลังกลับมาตกอยู่ใต้บงการของเขาและพวกอีกครั้ง

ความสำเร็จและสร้างผลสะเทือนระดับโลกของการเดินทางครั้งแรกในต่างประเทศของ โดนัลด์ ทรัมป์ไม่ถือว่าธรรมดา ใครที่บอกว่าทรัมป์เพี้ยน และโง่ อาจจะต้องคิดกันใหม่ แต่คนที่มองทรัมป์อย่างชื่นชม ก็น่าจะทำการตรวจสุขภาพจิตตนเองด้วย ว่ามีอะไรผิดปกติหรือไม่

ข้อตกลงขายอาวุธ 3.5 แสนล้านให้แก่ซาอุดีอาระเบีย ไม่ถือว่าเรื่องธรรมดา อย่างน้อยก็ทำให้ตลาดหุ้นวอลล์สตรีท เปลี่ยนมุมมองแบบไซด์เวย์เป็นขาขึ้นระลอกใหม่ในแค่ข้ามวันได้

หุ้นกลุ่มผลิตอาวุธได้พุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ หลังจากที่ทรัมป์ได้ลงนามในข้อตกลงขายอาวุธแก่ซาอุดีอาระเบียมูลค่าราว 1.10 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งจะมีวงเงินเพิ่มขึ้นเป็น 3.50 แสนล้านดอลลาร์ในช่วงเวลา 10 ปี ระหว่างการเดินทางเยือนซาอุดีอาระเบีย ก่อนที่จะไปเยือนอิสราเอลในวันนี้ ก่อนที่จะเดินทางไปยังอิตาลี, นครรัฐวาติกัน และเบลเยียม

แค่ประเทศแรกที่เดินทางก็ได้ออเดอร์ค้าสงครามขนาดใหญ่ชนิดที่ “นางคูราจ” ในละครของแบร์โธลด์ เบรคท์ได้อายม้วนไปเลยอย่างนี้ ไม่เรียกว่าฝีมือ จะให้เรียกอย่างอื่นคงไม่ได้

ทรัมป์ได้เข้าร่วมการประชุมผู้นำสหรัฐ-55 ผู้นำจากประเทศชาติอาหรับ โดยที่ประชุมได้เน้นไปที่การเตรียมความพร้อมในการสร้างความร่วมมือภูมิภาคตะวันออกกลาง และการจัดตั้งกองกำลังทหาร 34,000 นาย เพื่อต่อสู้กับการก่อการร้ายในปีหน้า รวมทั้งการเปิดตัวศูนย์ต่อต้านกลุ่มหัวรุนแรงทั่วโลกในกรุงริยาดห์ ซึ่งมีวัตถุประสงค์ในการจับตาและต่อสู้กับลัทธิหัวรุนแรง

ในการเดินทางเยือนอิสราเอล ทรัมป์ก็ยังคงสร้างผลสะเทือนต่อไป ด้านหนึ่งกล่าวเอาใจอิสราเอล โดยระบุกล่าวยกย่องนายเบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีขวาตกขอบอิสราเอล ที่ได้สร้างความคืบหน้าในการนำพาสันติภาพมาสู่อิสราเอลและปาเลสไตน์ และบอกว่าขณะนี้ตะวันออกกลางกำลังมีโอกาสที่หาได้ยากในการบรรลุสันติภาพ หากไม่มีอิหร่านที่ไม่รู้สำนึกบุญคุณสหรัฐฯ ด้วยการให้เงินทุนสนับสนุนกลุ่มก่อการร้าย รวมทั้งการฝึก และการติดอาวุธแก่กลุ่มดังกล่าวหลายประเทศในตะวันออกกลาง และย้ำอีกครั้งว่า อิหร่านไม่ควรได้รับอนุญาตให้มีอาวุธนิวเคลียร์ ขณะที่มีความเสี่ยงที่จะเป็นภัยคุกคามต่ออิสราเอล

อีกด้านหนึ่งทรัมป์ได้เดินทางไปยังเมืองเบธเลเฮมเพื่อพบกับ ปธน.อับบาส ของปาเลสไตน์ เพื่อกล่าวถึงการฟื้นการเจรจาสันติภาพระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์ที่ชะงักงันมาเป็นเวลานาน โดยที่ไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องนี้

การเดินทางต่างประเทศของทรัมป์ ไม่ได้มีแต่ข่าวระหว่างประเทศที่มีสะเทือนสูงเท่านั้น หากยังมีข่าวเรื่องมาตรการในประเทศที่กระทบต่อโลกหลายด้านแทรกเข้ามา ดังเช่นการเปิดเผยข้อมูลผ่านสื่อในสหรัฐฯ ว่า ตัวเขาเอง จะเสนอเสนอให้รัฐบาลสหรัฐขายน้ำมันจากคลังสำรองทางยุทธศาสตร์ออกครึ่งหนึ่ง เพื่อหารายได้เข้าประเทศ

ตามแผนงบประมาณของทรัมป์ ระบุว่าจะทำให้มีการขายน้ำมัน SPR ออกครึ่งหนึ่งในช่วงปี 2018-2027 เพื่อให้รัฐบาลมีรายได้ 1.65 หมื่นล้านดอลลาร์ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2018

นอกจากนี้ แผนงบประมาณดังกล่าว ยังได้เสนอให้มีการขุดเจาะ และผลิตน้ำมันมากขึ้นในอะแลสกา

แผนการดังกล่าวถูกบรรจุในงบประมาณประจำปีที่จะยื่นเข้าสู่การพิจารณาของสภาคองเกรสในคืนที่ผ่านมา

SPR นับเป็นคลังสำรองน้ำมันทางยุทธศาสตร์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีปริมาณน้ำมันอยู่ราว 688 ล้านบาร์เรล ซึ่งเพียงพอสำหรับความต้องการใช้น้ำมันทั่วโลกเป็นเวลา 1 สัปดาห์ หากนำออกมาขายจริงครึ่งหนึ่งตามแผน จะทำให้ราคาน้ำมันดิบทั่วโลกพังทลายในพริบตา ผลลัพธ์คือ ราคาน้ำมันร่วงกราวค่ำวานนี้กะทันหันเลยทีเดียว

แผนงบประมาณใหญ่ ที่เรื่องสำคัญกว่าเรื่องน้ำมันหลายเท่า และน่าติดตามอย่างยิ่งคือ การเสนอปรับลดค่าใช้จ่ายของรัฐบาลลง 3.6 ล้านล้านดอลลาร์ในช่วง 10 ปีข้างหน้า เพื่อทำให้งบประมาณกลับเข้าสู่ภาวะสมดุลให้ได้ภายในปีงบประมาณ 2570

ทำเนียบขาวระบุว่า รัฐบาลสหรัฐจะทุ่มเงินจำนวน 2 แสนล้านดอลลาร์ให้กับการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานในช่วงระยะเวลา 10 ปี ตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ ภายใต้สมมติฐานคาดเดาว่า เศรษฐกิจในประเทศจะขยายตัวราว 3% ในปี พ.ศ. 2564 และปีต่อๆ ไป เพิ่มขึ้นจากระดับ 2.3% ในปี 2560

การกระตุ้นเศรษฐกิจดังกล่าว ไม่ได้มีแค่การเพิ่ม แต่รวมถึงการปรับลดส่วนอื่นๆ ด้วยเช่น การปรับลดงบประมาณด้านระบบประกันสังคม ซึ่งรวมถึงประกันสุขภาพ สวัสดิการด้านอาหาร (food stamps) และเงินอุดหนุนสำหรับเกษตรกร พร้อมเพิ่มงบประมาณให้กับเงินกู้รายเดือนของนักศึกษา

นอกจากนี้ ยังมีการลดวงเงินงบประมาณที่สหรัฐต้องจ่ายให้กับโครงการรับมือภัยโลกร้อน และหันไปเพิ่มงบประมาณด้านการกลาโหมและความมั่นคงชายแดนแทน

หากแผนดังกล่าวบรรลุ ทำเนียบขาวโดยทีมงานเศรษฐกิจของอดีตผู้บริหารของโกลด์แมน แซคส์ ระบุว่า สหรัฐจะมียอดเกินดุลการค้าอยู่ที่ 1.6 หมื่นล้านดอลลาร์ในปีงบประมาณ 2570 เมื่อเทียบกับตัวเลขขาดดุลการค้าที่ระดับ 6.03 แสนล้านดอลลาร์ในปีงบประมาณ 2560 ซึ่งจะช่วยลดหนี้สินของรัฐบาลลงสู่ระดับต่ำกว่า 60% ในปีงบประมาณ 2570

การเมืองในสไตล์ทรัมป์นั้น เป็นสิ่งที่โลกไม่คุ้นเคย แต่ก็ต้องการเรียนรู้เพิ่มเติมอย่างรู้ทันต่อไป

Back to top button