LALIN คาดรายได้ Q2/60 โต 15% – มั่นใจรายได้ทั้งปีเข้าเป้า 3.1 พันลบ.

LALIN คาดรายได้ Q2/60 โต 15% จาก Q2/59 หลังมีการทยอยโอน 3 โครงการใหม่ที่เปิดในไตรมาส 1/60 มูลค่า 1.85 พันลบ. – มั่นใจรายได้ทั้งปีเข้าเป้า 3.1 พันลบ. พร้อมทยอยรับรู้ Backlog ราว 900 ลบ. – ทุ่มงบ 800-1,000 ลบ. ซื้อที่ดินใหม่ หวังรองรับการเปิดโครงการเพิ่มเติม


นายกร ธนพิพัฒนศิริ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการเงินและบริหาร บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ LALIN เปิดเผยว่า แนวโน้มรายได้ในไตรมาส 2/60 คาดว่าจะสามารถเติบโตได้ราว 15% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการที่บริษัทจะมีการทยอยโอน 3 โครงการใหม่ที่เปิดในไตรมาส 1/60 เข้ามา มูลค่า 3 โครงการใหม่ที่เปิดไปในไตรมาส 1/60 อยู่ที่ 1.85 พันล้านบาท ประกอบด้วย LIO Bliss อมตะนคร, LIO Bliss บางนาสุวรรณภูมิ และ LIO Bliss เพชรเกษม

ขณะที่ในปีนี้บริษัทยังมั่นใจว่ารายได้จะทำได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ 3.1 พันล้านบาท หรือเติบโต 15% จากปีก่อน ซึ่งจะมาจากการเปิดโครงการใหม่ในปีนี้ที่เป็นโครงการแนวราบทั้งหมด ซึ่งสามารถทยอยโอนได้ภายใน 3 เดือนหลังจากการเริ่มก่อสร้าง และมีรายได้ที่รับรู้เข้ามาจากมูลค่ายอดขายรอโอน (Backlog) ที่จะรับรู้เข้ามาในปีนี้ทั้งหมดมูลค่า 900 ล้านบาท

ส่วนในด้านยอดขาย นายกร ยังมั่นใจว่าทำได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ 3.65 พันล้านบาท หรือเติบโต 15% จากปีก่อน โดยในไตรมาส 1/60 บริษัททำยอดขายได้อยู่ที่ 900 ล้านบาท และคาดว่าแนวโน้มยอดขายในไตรมาส 2/60 คาดว่าจะใกล้เคียงกับไตรมาส 1/60 โดยบริษัทเตรียมเปิดโครงการทาวน์โฮมใหม่อีก 1 โครงการ ในสัปดาห์หน้า และยังเหลืออีก 5-6 โครงการ ที่เตรียมเปิดในช่วงครึ่งปีหลัง ซึ่งจะเป็นไปตามแผนงานของบริษัทที่วางแผนเปิดโครงการใหม่ทั้งหมด 8-10 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 4-4.5 พันล้านบาท

สำหรับอัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทในปีนี้ยังตั้งเป้าให้อยู่ที่ 40% เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ 39.21% และอัตรากำไรสุทธิในปีนี้ คาดว่าจะยังอยู่ในระดับตัวเลข 2 หลัก จากปีก่อนที่ 18.38% ซึ่งมาจากการบริหารต้นทุนที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น

นายกร กล่าวอีกว่า บริษัทเตรียมออกหุ้นกู้มูลค่า 300-500 ล้านบาท อายุ 3 ปี อันดับเครดิตเรตติ้ง BBB+ เพื่อชดเชยหุ้นกู้ชุดเดิมที่ครบกำหนดอายุ ซึ่งเป็นการช่วยลดต้นทุนดอกเบี้ย และรองรับการขยายธุรกิจในอนาคตด้วย

ด้านงบซื้อที่ดินในปีนี้บริษัทตั้งไว้ที่ 800-1,000 ล้านบาท เพื่อใช้ซื้อที่ดินใหม่รองรับการเปิดโครงการเพิ่มเติม โดยปัจจุบันได้ใช้งบซื้อที่ดินไปแล้ว 50% โดยที่ผ่านมาต้องยอมรับว่าแนวโน้มราคาที่ดินมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะที่ดินตามแนวรถไฟฟ้า แต่บริษัทพยายามเลือกทำเลที่อยู่ไม่ห่างจากรถไฟฟ้ามากนัก เพื่อการพัฒนาโครงการสามารถมีการตั้งราคาที่แข่งขันกับผู้ประกอบการรายอื่นได้

Back to top button