SENA เล็งลดเป้ายอดขายปีนี้จากเดิมคาดโต 20% หลังเลื่อนเปิดบางโครงการ

SENA เล็งลดเป้ายอดขายปีนี้จากเดิมคาดโต 20% หลังเลื่อนเปิดโครงการ “นิช ไพรด์ เตาปูน-อินเทอเชนจ์” มูลค่า 3.5 พันลบ. – ตุน Backlog 3-4 พันลบ .ส่วนใหญ่ทยอยรับรู้ฯ ในปีนี้


นางเกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ SENA เปิดเผยว่า บริษัทเตรียมพิจารณาปรับลดเป้ายอดขายปีนี้ลดลงจากเป้าหมายเดิมที่ตั้งไว้เติบ 20% จากปีก่อนที่ทำยอดขายได้ 4 พันล้านบาท เนื่องจากในปีนี้บริษัทจะต้องมี 1 โครงการที่เป็นโครงการร่วมทุนกับพันธมิตรญี่ปุ่น คือ โครงการ นิช ไพรด์ เตาปูน-อินเทอเชนจ์ มูลค่าโครงการ 3.5 พันล้านบาท ที่เลื่อนเปิดไปเป็นต้นปี 61 จากเดิมที่คาดว่าจะเปิดในช่วงปลายปีนี้

ประกอบกับในช่วง 3 เดือนสุดท้ายของปีนี้คาดว่าสถานการณ์ของตลาดอาจจะซึม จากปัจจัยในประเทศ ทำให้การทำกิจกรรมทางการตลาดต่าง ๆ อาจจะต้องชะลอไปในช่วงดังกล่าว รวมถึงการเปิดโครงการใหม่ในไตรมาส 4/60 ที่มีผลกระทบด้วย

สำหรับการเปิดโครงการในช่วงที่ผ่านมาบริษัทได้เปิดโครงการใหม่ไปแล้ว 2 โครงการ ได้แก่ โครงการ The Kith Lite Bangkadee Phase 2 มูลค่าโครงการ 367 ล้านบาท และโครงการ Niche ID Sukhumvit 113 มูลค่าโครงการ 592 ล้านบาท โดยล่าสุดบริษัทได้เปิดตัวโครงการใหม่โครงการที่ 3 ของปีนี้ คือ โครงการ Niche id @ ปากเกร็ดสเตชั่น มูลค่าโครงการ 1.5 พันล้านบาท ซึ่งจะเริ่มเปิดพรีเซลล์ในวันที่ 1-2 ก.ค.นี้ ราคาขายเริ่มต้น 1.29 ล้านบาท โดยบริษัทจะนำ 150 ยูนิตแรก จากทั้งหมด 857 ยูนิต มาเสนอขายแก่ลูกค้า โดยบริษัทตั้งเป้าหมายสามารถขายได้ครบ 150 ยูนิตแรกในช่วงวันพรีเซลล์

ด้านรายได้ในปีนี้บริษัทยังคงเป้าหมายรายได้เติบโต 10% จากปีก่อน 4.11 พันล้านบาท อีกทั้งปัจจุบันบริษัทมียอดขายรอโอน (Backlog) อยู่ที่ 3-4 พันล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่จะทยอยรับรู้ในปีนี้ โดยเฉพาะในช่วงไตรมาส 3/60 จะรับรู้รายได้มากที่สุด จากการโอนกรรมสิทธิ์โครงการ The Niche Pride ทองหล่อ-เพชรบุรี

ส่วนธุรกิจโซลาร์ของบริษัท ปัจจุบันอยู่ระหว่างรอการจับฉลากโซลาร์สหกรณ์ เฟส 2 ซึ่งบริษัทได้ผ่านคุณสมบัติหลายโครงการ ซึ่งคาดว่าจะรู้ผลการจับฉลากในสิ้นเดือนมิ.ย.นี้ โดยปัจจุบันบริษัทมีกำลังการผลิต 75 เมกะวัตต์ และในปีนี้จะจำหน่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) ครบทั้งหมด 50 เมกะวัตต์

นายสัมมา คีตสิน กรรมการบริษัทและกรรมการอิสระ SENA เปิดเผยว่า ตลาดที่อยู่อาศัยย่านปากเกร็ด-ติวานนท์ จ.นนทบุรี ถือว่าเป็นทำเลมีศักยภาพสูง เพราะการคมนาคมสะดวก หลากหลายรูปแบบและทุกทิศทาง อยู่ติดพื้นที่กรุงเทพฯตอนบน โดยถนนแจ้งวัฒนะ ฝั่งกรุงเทพฯ ไม่สามารถพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยได้มากเมื่อเทียบกับฝั่งนนทบุรี เนื่องจากกฎหมายผังเมืองบังคับ อีกทั้งมีประชาชนอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก

สำหรับภาพรวมตลาดที่อยู่อาศัยย่านดังกล่าวมีอัตราการเติบโตจากหลายปัจจัยบวก เช่น เส้นทางคมนาคม ศูนย์ราชการ ห้างสรรพสินค้า ศูนย์ประชุม โดยเริ่มมีคอนโดมิเนียมเกิดขึ้นมากในช่วงประมาณปี 53 เป็นต้นมา โดยในช่วง 3 ปีที่ผ่านมามีคอนโดมิเนียมประมาณ 10 โครงการ ซัพพลายประมาณ 10,000 ยูนิต อัตราการขายอยู่ในระดับสูงมากกว่า 80% ทำให้อุปทานในตลาดเหลืออยู่ค่อนข้างน้อย ราคาขายต่อตารางเมตรปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง จากกว่า 40,000 บาท/ตารางวา เมื่อ 4-5 ปีที่แล้ว เป็นสูงกว่า 60,000 บาท/ตารางวาในปัจจุบัน และเพิ่มเป็น 120,000-150,000 บาท/ตารางวา ในช่วงปี 59-62 และยังมีแนวโน้มราคาที่ดินจะเพิ่มสูงขึ้น เมื่อรถไฟฟ้าสายสีชมพูเริ่มการก่อสร้างไปจนสร้างเสร็จเปิดให้บริการ แต่ปัจจุบันต้นทุนที่ดินยังพอพัฒนาได้

โดยการแข่งขันในย่านดังกล่าวดุเดือดสูสีกับทุกๆทำเล เมื่อมีการก่อสร้างศูนย์ราชการ ผู้ประกอบการก็เริ่มหันมาพัฒนาโครงการในรูปแบบคอนโดฯมากขึ้น แต่ยังไม่มากนัก แต่มีการพัฒนามากขึ้นเมื่อมีการเปิดตัวเซ็นทรัล พลาซ่า แจ้งวัฒนะ และได้ชะลอตัวไประยะหนึ่งในปี 56-57และเริ่มกลับมาแข่งขันอีกในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ซึ่งจะมีการแข่งขันอีกอย่างต่อเนื่อง

“ด้านการคมนาคม จะอยู่ใกล้โครงข่ายรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนสายสีชมพู Light Rail ที่ใช้เวลาก่อสร้างเร็วกว่าระบบปกติ คาดว่าจะสร้างแล้วเสร็จภายในปี 63 เพื่อเชื่อมแคราย-แจ้งวัฒนะ-รามอินทรา-มีนบุรี เชื่อมต่อรถไฟฟ้าสายสีม่วง (บางซื่อ-บางใหญ่) บริเวณสถานีกระทรวงสาธารณสุขเชื่อมต่อรถไฟฟ้าสายสีแดง (บางซื่อ-รังสิต) บริเวณหน้าวัดหลักสี่/ไอทีสแควร์ เชื่อมต่อรถไฟฟ้าสายสีเขียว (หมอชิต-สะพานใหม่-คูคต) บริเวณสี่แยกหลักสี่/วัดพระศรีมหาธาตุ จากโครงข่ายดังกล่าวทำให้ทำเลดังกล่าวมีศักยภาพมากยิ่งขึ้น” นายสัมมา กล่าว

Back to top button