PTTGC คาด Q3/58 เซ็นร่วมทุนพันธมิตรญี่ปุ่นทำปิโตรฯคอมเพล็กซ์ในสหรัฐ
PTTGC คาด Q3/58 เซ็นร่วมทุนพันธมิตรญี่ปุ่นทำปิโตรฯคอมเพล็กซ์ในสหรัฐ
นายปฏิภาณ สุคนธมาน รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการเงินและบัญชี บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC เปิดเผยว่า บริษัทคาดโครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ ในสหรัฐ มูลค่าเบื้องต้นราว 5 พันล้านเหรียญสหรัฐ จะสามารถลงนามสัญญาร่วมทุนกับพันธมิตรญี่ปุ่นที่มีความเชี่ยวชาญด้านเทรดดิ้งได้ในราวไตรมาส 3/58 เบื้องต้นบริษัทจะถือหุ้นไม่ต่ำกว่า 51% และคาดว่าจะสรุปแผนการลงทุนชัดเจนได้ในไตรมาส 1/59 ก่อนจะเริ่มสร้างปลายปี 59 เพื่อให้มีผลผลิตออกมาในช่วงปี 64
นายปฏิภาณ กล่าวว่า การหาพันธมิตรที่เป็นเทรดเดอร์ จะสามารถช่วยขายผลิตภัณฑ์ในตลาดสหรัฐ ซึ่งบริษัทไม่มีความเชี่ยวชาญ ขณะที่ตามปกติบริษัทเทอร์เดอร์จากญี่ปุ่นจะถือหุ้นในแต่ละโครงการสัดส่วนไม่มากราว 20-30%
สำหรับความคืบหน้าของโครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ ในสหรัฐนั้น ขณะนี้คณะกรรมการบริษัทอนุมัติให้ศึกษาความเป็นไปได้ของการลงทุนในโครงการ ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จในไตรมาส 1/59 โดยจะต้องศึกษาทั้งในส่วนของมูลค่าการลงทุนที่ชัดเจน, การทำสัญญาซื้อวัตถุดิบระยะยาวทั้งในส่วนของปริมาณและราคา ตลอดจนการทำการตลาด ซึ่งหากได้ข้อสรุปและผ่านการอนุมัติจากคณะกรรมการก็คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างปลายปี 59 และใช้เวลาก่อสร้าง 3-4 ปี เริ่มการผลิตเชิงพาณิชย์ได้ในปี 64
ปัจจุบันอยู่ระหว่างการคัดเลือกพื้นที่ตั้งโครงการใน 3 รัฐ ได้แก่ โอไฮโอ ,เวสต์ เวอจิเนีย และเพนซิลวาเนีย ในแถบมาร์เซลลัส (Marcellus) ภูมิภาคตะวันออกเฉียงเหนือของสหรัฐ ซึ่งเป็นแหล่ง shale gas ที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐ และเป็นภูมิภาคที่มีความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์ในระดับสูง โดยการคัดเลือกจะพิจารณาจากการสนับสนุนของภาครัฐ ความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐาน ความได้เปรียบในด้านการขนส่งผลิตภัณฑ์ และความพอเพียงของแรงงานที่มีความสามารถ เบื้องต้นเห็นว่ารัฐโอไฮโอ มีความเป็นไปได้ในการตั้งโครงการดังกล่าว
โครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ในสหรัฐจะเป็นการผลิตโอเลฟินส์ขนาด 1 ล้านตัน/ปี ใช้ก๊าซอีเทนจาก shale gas เป็นวัตถุดิบ เพื่อรองรับตลาดในสหรัฐที่ยังมีการนำเข้าในปริมาณที่มาก รวมถึงจะมีการสร้างผลิตภัณฑ์ต่อเนื่อง ได้แก่ โพลีเอทิลีนชนิดความหนาแน่นสูง (HDPE) 7 แสนตัน/ปี และโมโนเอทิลีนไกลคอล(MEG) และเอทิลีนออกไซด์ (EO) รวม 6 แสนตัน/ปี ขณะที่บริษัทจะทำสัญญากับผู้ผลิต shale gas หรือผู้จัดหา shale gas เพื่อให้มีวัตถุดิบเพียงพอในการผลิต
สำหรับตลาดผลิตภัณฑ์โอเลฟินส์และเม็ดพลาสติก ยังคงมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยปีละ 4% ทั่วโลก ขณะที่ปัจจุบันกำลังการผลิตโอเลฟินส์ของโลกอยู่ที่ระดับ 140 ล้านตัน/ปี ซึ่งยังคงมีการใช้เติบโตอย่างสม่ำเสมอ
ส่วนความคืบหน้าโครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ในอินโดนีเซีย มูลค่าลงทุนเบื้องต้นราว 5 พันล้านเหรียญสหรัฐนั้นน่าจะมีความชัดเจนมากขึ้นในช่วงไตรมาส 3/58 ซึ่งเดิมเป็นการร่วมทุนเฉพาะเปอร์ตามิน่า แต่หลังจากที่กลุ่มเปอร์ตามิน่าเลือกซาอุดิอารามโก้มาเป็นพันธมิตรสร้างโรงกลั่นน้ำมัน ทำให้มีแนฟทาเหลือมากพอที่จะรองรับการทำปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ จึงเห็นว่าควรจะร่วมกันดำเนินการทั้งสามฝ่าย ล่าสุดทางเปอร์ตามิน่าจะนำเรื่องดังกล่าวไปหารือกับซาอุดิอารามโก้ต่อไป
นายปฎิภาณ กล่าวอีกว่า บริษัทได้จัดทำแผนกลยุทธ์ธุรกิจสีเขียวที่ครบวงจร (Bio-Hub) ซึ่งจะเป็นการดำเนินธุรกิจจากต้นน้ำสู่ปลายน้ำ ที่ใช้วัตถุดิบจากการเกษตรมาผลิต โดยในส่วนของบริษัทเตรียมที่จะนำเสนอโมเดลการลงทุน Bio-Hub โดยใช้อ้อยเป็นวัตถุดิบ เพื่อผลิตพลาสติกชีวภาพ (Bio Plastic) ในอนาคต โดยจะเสนอแผนไปยังกระทรวงพลังงาน เพื่อหารือกับกระทรวงอุตสาหกรรมและกระทรวงการคลังต่อไป
การลงทุน Bio-Hub หากได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐอย่างชัดเจน ทั้งในด้านของพื้นที่ การให้เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ และสิทธิประโยชน์อื่นๆ ก็จะเสนอคณะกรรมการเพื่อพิจารณาต่อไป ขณะที่แผนการลงทุนที่จะสร้างโรงงานผลิตพลาสติกชีวภาพ (PLA) แห่งที่ 2 ในไทยนั้นยังคงอยู่ระหว่างการพิจารณาแผนการสนับสนุนจากภาครัฐ จากปัจจุบันที่มีโรงงาน PLA แห่งแรกในสหรัฐ จากการที่บริษัทได้เข้าไปลงทุนในบริษัท NatureWorks