ข่าวร้ายพลวัต2015
ข่าวร้ายดังกล่าว ล้วนไม่พึงพอใจทั้งสิ้น แต่คนที่เผยแพร่ หรือช่วยเผยแพร่ เพราะเป็น ”ความลับที่ปิดกันให้แซ่ด” นิยมชมชอบยิ่งนัก
ข่าวร้าย
ข่าวร้ายมาสองด้านเสมอ เพราะด้านหนึ่ง ไม่มีใครชอบข่าวร้ายของตัวเอง แต่อีกด้านหนึ่ง ชอบเผยแพร่ข่าวร้ายของคนอื่นๆ
ธรรมชาติข่าวร้ายมี 2 ประเภทหลัก คือ ข่าวจริงที่ทำให้คนที่ตกเป็นตัวละครสำคัญในข่าวได้รับผลในทางลบ กับข่าวเท็จที่ปรุงแต่งขึ้นมาโดยมีเจตนาปล่อยออกมาเพื่อให้คนที่ตกเป็นข่าวได้รับความเสียหาย แต่ไม่ว่าจะเป็นข่าวแบบไหน คนที่ต้องรับมือกับข่าวร้ายดังกล่าว ล้วนไม่พึงพอใจทั้งสิ้น แต่คนที่เผยแพร่ หรือช่วยเผยแพร่ เพราะเป็น ”ความลับที่ปิดกันให้แซ่ด” นิยมชมชอบยิ่งนัก
สำหรับบางคน ข้อเท็จจริงที่ระคายหู ก็ถือเป็นข่าวร้าย เช่นกัน
ไม่ว่าปฏิกิริยา หรือวิธีการรับมือกับข่าวร้ายจะเป็นอย่างไร ข้อเท็จจริงในโลกทุกวันนี้คือ ข่าวร้ายมักจะออกมาเผยแพร่ได้เสมอ เพราะคนที่อยากเผยแพร่ กับคนที่เป็นต้นของข่าว มักจะเป็นคนละคนกัน
สำหรับตลาดเก็งกำไรอย่างตลาดหุ้น ข่าวร้าย กับข่าวลือเท็จ มักจะออกมาเคียงคู่กันเสมอ เพียงแต่ข่าวลือเท็จในตลาดเก็งกำไรก็มักจะมีข่าวดีมากกว่าข่าวร้ายเท่านั้นเอง เพราะมันทำให้หลักทรัพย์ที่ซื้อขายมีราคาสูงขึ้น หรือต่ำลง
ข่าวร้ายที่เป็นจริงสำหรับสังคมไทยและนักลงทุนไทยยามนี้ คือ ข่าวร้ายเกี่ยวกับเศรษฐกิจไทย เพราะเป็นข้อเท็จจริงที่นับวันยิ่งไม่อาจจะปฏิเสธได้ว่า ใกล้ตัวเข้ามาทุกขณะ
ตัวอย่างง่ายที่สุด ผลประกอบการหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ซึ่งเป็นแหล่งรวมศูนย์ที่สะท้อนปัญหาของธุรกิจหรือลูกค้าธนาคารได้ดีที่สุด ปรากฏว่า ไตรมาสแรกของปีนี้ ธนาคารพาณิชย์ส่วนใหญ่ในตลาดหุ้นไทย มีผลประกอบการน่าผิดหวัง เพราะหากไม่ตามคาดก็ต่ำกว่าคาด มีน้อยรายมากที่จะเป็นดีเกินคาด
เหตุผลที่ทำให้ผลประกอบการหุ้นธนาคารผิดหวัง และนักลงทุนพากันขายทิ้ง โดยเฉพาะเมื่อวานนี้ ก็มาจากตัวเลขหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้ของธนาคารพาณิชย์ทุกรายเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน แม้จะยังมีสัดส่วนไม่มากนัก แต่ก็ส่งผลกระทบต่อฐานะการเงินคือ กำไร และการตั้งสำรองของเงินกองทุนต่อสินเชื่อของธนาคารเพิ่มสูงขึ้น
ข้อมูลที่เปิดเผยออกมาคือ ลูกหนี้สินเชื่อในกลุ่มที่อยู่อาศัยซึ่งส่วนใหญ่ให้สินเชื่อไปตั้งแต่เมื่อ 2-3 ปีก่อน เริ่มประสบปัญหาหนี้ครัวเรือน และ SME ขนาดเล็ก ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว แนวโน้ม NPL ในไตรมาสแรกและไตรมาสที่สองของธนาคารสูงขึ้นตามฤดูกาล ส่วนหนึ่งอาจจะอ้างได้ว่ามีวันหยุดยาวมากส่งผลต่อความสามารถในการชำระของสินเชื่อรายย่อย
ผลพวงเกี่ยวเนื่องที่หนีไม่พ้นคือ ธนาคารพาณิชย์จำเป็นต้องตั้งสำรองหนี้สูญพิเศษหรือ Extra reserve ใน 2Q15 เพื่อรองรับ NPL ที่เพิ่มขึ้นด้วย แนวโน้มครึ่งแรกของปีนี้ จึงไม่ต้องคาดหวังว่าผลประกอบการของธนาคารพาณิชย์จะโดดเด่น
ในทางปฏิบัติ ธนาคารพาณิชย์ และลูกค้าที่เป็นภาคธุรกิจ อาจจะมีทางเลือกรับมือกับความถดถอยของธุรกิจที่เกิดจากภาพรวมเศรษฐกิจ ด้วยการที่ใช้วิศวกรรมการเงิน มาช่วยเหลือให้สถานการณ์ทางการเงินและสภาพคล่องทางการเงินดีขึ้น ด้วยการควบรวมกิจการ หรือขายทรัพย์สินออกจากมือ หรืออื่นๆ ซึ่งผลลัพธ์จะปรากฏออกมาว่า กำไรปกติจากการดำเนินงาน บางครั้งถูกแซงหน้าจากวิศวกรรมการเงิน ซึ่งปรากฏการณ์เช่นนี้ เกิดขึ้นมากมายทั่วโลก ไม่ใช่เรื่องแปลกพิสดาร หรือเป็นเรื่องเลวร้าย
ตัวอย่างบริษัทในดัชนี S&P500 ของตลาดหุ้นสหรัฐปีนี้ไตรมาสแรก ส่วนใหญ่ก็มีกำไรจากวิศวกรรมการเงินมากกว่ากำไรปกติ ไม่เห็นมีใครกล่าวตำหนิอะไร เพียงแต่แสดงอาการเป็นห่วงออกมาด้วยการขายหุ้นทิ้ง ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดามาก
ปรากฏการณ์เช่นนี้ ลุกลามไปเป็นห่วงโซ่ ล่าสุดนายก้องเกียรติ โอภาสวงการ ผู้ช่ำชองแวดวงตลาดทุนมากที่สุดคนหนึ่งของไทย แห่งค่ายเอเซีย พลัส ก็ออกมาแสดงความกังวลว่าเศรษฐกิจไทยที่ชะลอตัวทำให้หลายบริษัทมีการปรับลดการขยายตัวทางเศรษฐกิจ หรือจีดีพี ในปี 2558 ลง ทำให้ดัชนีหุ้นไทยปีนี้ไม่ปรับตัวดีขึ้นจากช่วงที่ผ่านมาที่ได้ปรับขึ้นไปก่อนหน้า
พูดอย่างนี้ ตีความตามประสาเทคนิคของนักลงทุน ก็คือ ดัชนีตลาดปรับฐานไปแล้วรอบหนึ่ง แต่เมื่อดัชนีหุ้นพลิกกลับมาจากฐานใหม่แล้ว ไม่สามารถขึ้นไปถึงยอดเดิมได้ เพราะขาดแรงส่งจากผลประกอบการบริษัทที่ป้อแป้
นายก้องเกียรติบอกว่า ระหว่างรอดูผลประกอบการไตรมาส 1/58 กำลังนี้ ก็เชื่อว่าจะมีหลายกลุ่มอุตสาหกรรมขยายตัวเป็นบวกได้ไม่มากนัก โดยเฉพาะกลุ่มธนาคารพาณิชย์ที่ผลประกอบการลดลง ทำให้เห็นชัดเจนว่าเศรษฐกิจไทยในระยะยาวยังไม่ฟื้นตัว เพราะภาคธนาคารยังตั้งสำรองหนี้เสียอยู่ในระดับสูง แม้ว่ากำไรบริษัทจดทะเบียนในปีนี้โดยรวมเชื่อว่าจะขยายตัวดีขึ้นจากปีที่ผ่านมาที่ติดลบร้อยละ17 มาอยู่ที่ร้อยละ 25 ได้
ประเด็นปัญหาสำคัญที่นายก้องเกียรติระบุชัดเจนคือ การที่เศรษฐกิจยังชะลอตัวเกิดจาก การที่ปัญหาในกลุ่มคนรากหญ้ายังไม่ได้รับการแก้ไข ไม่มีเม็ดเงินหมุนเวียนเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ ซึ่งหากไม่ได้รับการแก้ไขจะเป็นปัจจัยเสี่ยงในระยะยาวได้
คำพูดของผู้ช่ำชองเช่นนี้ ดูจะสวนทางกับนักวิเคราะห์หลายสำนักที่บอกว่า หุ้นไทยปรับฐานมากเพียงพอแล้ว จะไม่ลงต่ออีก แต่จะวิ่งไปทะลุที่แนวต้าน 1,600 จุดอันเป็นแนวต้านสำคัญในที่สุด
คำเห็นดังกล่าว ต้องนำมาพิจารณาเทียบเคียงกับบทวิเคราะห์ของนักวิเคราะห์สำนักต่างๆ เพราะดูเหมือนว่ายามนี้ มุมมองต่อทิศทางของตลาด ออกมาไปคนละทิศละทาง หาที่จะเชื่อถือได้ยากพอสมควร เพราะคาดเดาอนาคตไม่ค่อยจะแม่นยำกันเอาเสียเลย
สถานการณ์ยามนี้ ไม่ต้องคิดถึงเรื่องของศาสตร์ว่าด้วยการนำเสนอข่าวร้ายในทางบวกให้เสียเวลา เพราะในที่สุดก็จะประจักษ์กันว่า เป็นแค่ข้อเท็จจริงที่ระคายหู หรือข่าวลือเท็จกันแน่