PDI ลั่นรายได้-กำไร1-2ปีนี้โตกระโดด หลังราคาสังกะสีโลกขึ้นต่อเนื่อง
PDI ลั่นรายได้-กำไร 1-2 ปีนี้โตกระโดด หลังราคาสังกะสีโลกขยับขึ้นต่อเนื่อง
นายสดาวุธ เตชะอุบล ประธานคณะกรรมการบริหาร บริษัท ผาแดงอินดัสทรี จำกัด (มหาชน) หรือ PDI ระบุว่า การทรงตัวในระดับสูงของราคาสังกะสีจะส่งผลบวกอย่างเด่นชัดต่อผลประกอบการของบริษัททั้งรายได้และกำไรที่จะเติบโตอย่างก้าวกระโดดต่อไปใน 1-2 ปีจากนี้
แนวโน้มผลประกอบการในปี 60 ของ PDI ทั้งรายได้และกำไรมีโอกาสทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยได้รับอานิสงส์จากราคาโลหะสังกะสีในตลาดโลกที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งได้เริ่มขยับมาอย่างเด่นชัดตั้งแต่ต้นปี 59 จากค่าเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 1,676 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน ล่าสุด ณ วันที่ 30 มิ.ย.60 ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 2,754 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน คิดเป็นอัตราการขยับเพิ่มขึ้นถึง 64%
ทั้งนี้ ราคาโลหะสังกะสีในตลาดโลกปรับตัวเพิ่มขึ้นมาจากปริมาณความต้องการในภาพรวมของโลกที่มีสูง ขณะที่สต็อกโลหะสังกะสีในตลาดโลกที่คลังสินค้า (LME) อยู่ในระดับค่อนข้างต่ำ
“ภาพที่เด่นชัดได้จากกำไรสุทธิในไตรมาสแรกปีนี้ที่ทำได้มากถึง 312 ล้านบาท ขยายตัวจากไตรมาสแรกปีก่อนมากถึง 940% และปัจจุบันราคาโลหะสังกะสีก็ยังทรงตัวอยู่ในระดับสูง ซึ่งบทวิเคราะห์จากต่างประเทศประมาณการณ์ว่าราคาโลหะสังกะสีในตลาดโลกสิ้นปีนี้จะยืนเหนือระดับ 2,800 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน และในปีหน้าจะไต่ระดับขึ้นไปได้อีก โดยคาดว่าราคาจะเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 2,950 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน ทั้งนี้ ในอดีตราคาโลหะสังกะสีในตลาดโลกเคยปรับตัวสูงเหนือระดับราคา 4,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อตันมาแล้ว”นายสดาวุธ กล่าว
ปัจจุบัน PDI มีสินค้าในสต็อกจำนวนกว่า 15,000 ตัน สามารถจัดจำหน่ายให้กับลูกค้าได้เพียงพอตามที่ต้องการ และแม้ว่าในอนาคตบริษัทจะหยุดการผลิตโลหะสังกะสี แต่ไม่เป็นอุปสรรคต่อการดำเนินธุรกิจในอนาคต เพราะสินค้าในสต๊อกยังมีอยู่และสามารถทยอยขาย เนื่องจากราคาโลหะสังกะสีในตลาดโลกยังมีโอกาสปรับตัวขึ้น ทำให้บริษัทยังสามารถสร้างผลกำไรได้อย่างต่อเนื่อง
นายสดาวุธ กล่าวว่า บริษัทได้มีการกระจายความเสี่ยงทางธุรกิจโดยดำเนินการตามแผนกลยุทธ์การเปลี่ยนแปลงธุรกิจ ซึ่งที่ผ่านมาตั้งแต่เดือน ต.ค.59 ได้เข้าไปลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าพลังแสงอาทิตยแห่งแรกในประเทศญี่ปุ่นจำนวน 2.27 เมกะวัตต์ โดยลงทุนผ่านบริษัทย่อย พีดีไอ เอ็นเนอร์ยี จำกัด ซึ่งเปิดดำเนินการแล้วและผลการดำเนินการที่เกิดขึ้นสูงกว่าเป้าหมายที่วางเอาไว้ และมีโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ แห่งที่สองจำนวน 10.73 เมกะวัตต์ อยู่ในระหว่างการก่อสร้าง คาดว่าจะแล้วเสร็จและเปิดดำเนินการได้ภายในไตรมาส 3/60
นอกจากนี้ยังมีโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์อีก 1 แห่งขนาด 6.3 เมกะวัตต์ในจังหวัดตาก ซึ่งเปิดดำเนินการมาตั้งแต่ปี 56 เป็นการลงทุนผ่านบริษัทย่อยอีกเช่นกัน
ทางผู้บริหารยังคงหาโอกาสการลงทุนในธุรกิจอื่นๆ ที่สามารถสร้างผลตอบแทนให้กับบริษัทฯในอนาคต ประกอบกับ บริษัทยังมีเงินเพื่อการลงทุนเหลืออยู่จำนวนมาก พร้อมลงทุนอีก 2,000-3,000 ล้านบาทได้อย่างสบาย