AQ กำ(…)ดีกว่ากำตด

มติที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นของบริษัท เอคิว เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ AQ เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2560 ทำให้จากนี้ไป บริษัทนี้ หากไม่ใช่บริษัทที่มีทุนจดทะเบียนมากที่สุดในตลาดหุ้นไทย ...ก็คงจะอยู่ในระดับหัวแถวเลยทีเดียว ทั้งที่ปัจจุบันเป็นบริษัทอสังหาริมทรั


แฉทุกวันทันเกมหุ้น

มติที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นของบริษัท เอคิว เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ AQ เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2560 ทำให้จากนี้ไป บริษัทนี้ หากไม่ใช่บริษัทที่มีทุนจดทะเบียนมากที่สุดในตลาดหุ้นไทย …ก็คงจะอยู่ในระดับหัวแถวเลยทีเดียว ทั้งที่ปัจจุบันเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ขนาดเล็ก

รายละเอียดของมติที่ประชุมระบุว่า การเพิ่มทุนอีกประมาณ 21 เท่า จากระดับ 6.337 พันล้านบาท เป็น 1.47 แสนล้านบาท จะเพิ่มทุนขายให้แก่บุคคลในวงจำกัด (PP) จำนวน 100,000,000,000 หุ้น ราคาพาร์หุ้นละ 0.50 บาท และเพิ่มทุนให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิม (RO) จำนวนไม่เกิน 125,000,000,000 หุ้น ราคาพาร์หุ้นละ 0.50 บาท โดยผู้ถือหุ้นเดิม จะได้รับใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญ หรือ วอร์แรนต์ AQ-W4 จำนวนไม่เกิน 56,337,341,768 หน่วย ฟรี

แถมด้วยมติเสริมว่า ในกรณีที่ขายไม่หมด หุ้นสามัญเพิ่มทุนที่เหลือจากการจัดสรรให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิม และที่เหลือจากการจัดสรรให้แก่บุคคลแบบเฉพาะเจาะจง จะนำมาจัดสรรให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมแบบ (RO) อีกครั้งหนึ่ง

เงื่อนไขในการขายหุ้นเพิ่มทุน แม้จะไม่ได้กำหนดราคาเอาไว้…เพราะหุ้น AQ ถูกพักหารซื้อขายมานานกว่า 1 ปี….จึงระบุเอาไว้หยาบๆ ดังนี้

  • กรณีหุ้นเพิ่มทุนขายแบบเฉพาะเจาะจง (PP) กำหนดจากการทำบุ๊คบิลดิ้งจากนักลงทุนที่สนใจ มาพิจารณาร่วมกับ ราคาประเมินจากบริษัทที่ปรึกษาการเงินอิสระ บริษัท เอส 14 แอดไวเซอรี่ จำกัด ได้เป็นราคาเบื้องต้นที่05 บาท
  • กรณีการแปลงสิทธิ์วอร์แรนต์ AQ-W4 ราคาที่แปลงสิทธิ์ให้เป็นไปตามกฎหมาย
  • การขายหุ้นเพิ่มทุนให้กับผู้ถือหุ้นเดิม (RO) จะกำหนดให้ที่ราคาไม่เกินกว่าราคาหุ้นเพิ่มทุนแบบเฉพาะเจาะจง (PP)
  • หุ้นส่วนเกินที่จัดสรรเพิ่มเติมในกรณีขายไม่หมด จะต้องขายในราคาไม่เกินกว่าราคาหุ้นเพิ่มทุนแบบเฉพาะเจาะจงและราคาหุ้นเพิ่มทุนแก่ผู้ถือหุ้นเดิม

รายละเอียดและเงื่อนไขจากมติที่ประชุมวิสามัญดังกล่าว แม้จะตอบคำถาม 4 ข้อของตลาดหลักทรัพย์ฯ ปลายเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ทั้ง 4 ข้อชนิด “สีข้างแดงเถือก” แต่ก็ถือว่า ปรับปรุงดีกว่ามติเดิมของคณะกรรมการในเดือนมีนาคมที่ถูก ก.ล.ต. ย้อนศรจนปั่นป่วนหลายเท่า

แม้ผลลัพธ์ท้ายสุด ทำให้เงินหล่นหายไประหว่างขั้นตอนเหล่านี้กว่า 2.2 หมื่นล้านบาท….ก็จำยอมแบกรับ…เพราะไม่มีทางเลือกอื่นในการหลุดพ้นจากยุคเก่า เข้าสู่ยุคใหม่

เงินที่หล่นหาย เกิดจากมติเดิมในเดือนมีนาคม ระบุว่า จะเพิ่มทุนขายหุ้น (ตามเงื่อนไขในตาราง 2) ที่มีมติเพิ่มทุนด้วยการออกหุ้นใหม่จำนวน 318,837.34 ล้านหุ้น ราคาพาร์หุ้นละ 0.50 บาท ขายในราคาเพิ่มทุนแบบเฉพาะเจาะจง 0.198 บาท หรือ 19.8 สตางค์ต่อหุ้น

ครั้งนั้น คณะกรรมการ AQ ตั้งเป้าว่าจะได้รับเงินจากการเพิ่มทุน ประมาณ 37,567 ล้านบาท โดยที่ส่วนหนึ่งจะนำไปชำระหนี้ธนาคารกรุงไทย ตามคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง จำนวน 10,004.47 ล้านบาท หลังจากชะงักงัน เพราะไม่ยอมส่งงบการเงินจนถึงขั้นต้องถูกตลาดฯ พักการซื้อขายยาวนานกว่า 1 ปี

หนี้ส่วนนี้ หากสามารถชำระหนี้ได้หมด บริษัทจะได้รับสิทธิ์ซื้อที่ดินที่เป็นหลักประกันจำนวน 4,323 ไร่กลับคืนมา ในราคาประมาณ 1,000-1,500 ล้านบาท

รากเหง้าของหนี้ 10,004.44 ล้านบาท ของ AQ เป็น “มรดกบาป” จากอดีตเมื่อครั้งยังเป็นบริษัท กฤษฎามหานคร จำกัด (มหาชน) หรือ  KMC  ใต้กำมือของตระกูล กฤษดาธานนท์ ที่ถูกนำไปโยงใยเป็นลูกหนี้ร่วมของธนาคารกรุงไทย ผ่าน บริษัทโกลเด้น เทคโนโลยี อินดัสเทรียล พาร์ค จำกัด ที่กู้เงิน 9,900 ล้านบาท (วงเงินไฟแนนซ์ 8,000 ล้านบาท วงเงินซื้อที่ดินเพิ่ม 500 ล้านบาท และวงเงินพัฒนาโครงการ 1,400 ล้านบาท) ที่ถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาฯ พิพากษา ลงโทษ ตามคดีดำที่ อม. 3/2555 วันที่ 26 สิงหาคม 2558

มติในครั้งนั้น ก.ล.ต.ระบุว่า ทำผิดหลักการ ถึง 3 ข้อ …แต่ข้อที่ ก.ล.ต.ย้ำว่าสาหัสสากรรจ์ที่สุด คือ การขายหุ้นแบบ PP ที่ระบุว่า …การเพิ่มทุนนี้จะมี control dilution ต่อผู้ถือหุ้นเดิม 90.97% ถือว่า “อาจเข้าข่ายมีลักษณะก่อให้เกิดความเป็นธรรมหรือความเสียหายต่อผู้ถือหุ้นโดยรวม” ตามข้อ 5 ของประกาศที่ ทจ.72/2558 ลงวันที่ 28 ตุลาคม  2558…ทำให้ AQ ต้องถอยกรูดเพราะ “ล่มปากอ่าว” หมดรูป ต้องกลับมาทบทวน…ก่อนเดินหน้าต่อ

มติเพิ่มทุนที่มีการปรับปรุงแล้วนี้ (ออกจำนวนหุ้นเพิ่ม และลดราคาขายลง พร้อมเงื่อนไขใหม่) นอกจากจะไม่มีข้อความที่ ก.ล.ต.เดียดฉันท์แล้ว…จะทำให้ AQ ได้รับเงินสดจากผู้ถือหุ้นทันที ไม่เกิน 12,500 ล้านบาท (ไม่นับรวมเงินจากการแปลงสิทธิ์ AQ-W4 ในอนาคตที่ยังไม่ได้กำหนดราคาในทันที)…พอใช้หนี้ธนาคารกรุงไทยพอดี…จะมีเหลือก็ไม่มาก เอาไปทำอย่างอื่นใดคงไม่เป็นชิ้นเป็นอัน

ยอมเสียหายขนาดนี้แล้ว และผู้ถือหุ้นก็เห็นชอบด้วยเกือบเอกฉันท์ …ก.ล.ต.และตลาดก็คงได้แต่กรอกตา…ขวางไม่ไหว

ขณะที่เจ้าหนี้อย่าง KTB เตรียมรับทรัพย์เนื้อๆ…จากส้มหล่น

อิ อิ อิ

Back to top button