TOP ลบ 0.89% กูรูแนะ “ซื้อ” มองธุรกิจโรงกลั่นแข็งแกร่งรับแรงหนุนจากกำไรสต็อกน้ำมัน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ราคาหุ้นบริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP ณ เวลา 11.59น. ราคาอยู่ที่ 55.50 บาท ลบ 0.50 บาท หรือ 0.89% สูงสุดที่ 56.50 บาท ต่ำสุดที่ 55.50 บาท มูลค่าซื้อขายที่ 72.36 ล้านบาท ขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยโดยรวมบวก 0.06%

 

บล.ทิสโก้ ระบุในบทวิเคราะห์ (27 เม.ย.) คาดกำไรไตรมาส 1/58 ของ TOP เท่ากับ 4.78 พันล้านบาทตามคาดจากเดิมที่ขาดทุน ลดลง 6.48 พันล้านบาทในไตรมาส 4/57 และ กำไร 2.53 พันล้านบาท (เพิ่มขึ้น 88.9% จากปีก่อน) ไตรมาส 1/57

โดยมีประเด็นสำคัญดังนี้คาดกำไรหลักจากธุรกิจโรงกลั่นแข็งแกร่งจาก 1) ค่าการกลั่นที่สูงขึ้นเป็น US$9/bbl จากเดิม US$8.2/bbl ตามส่วนต่างราคาเชื้อเพลิงน้ำมัน และน้ำมันเบนซินที่สูงขึ้น และ 2) อัตราการใช้กำลังผลิต CDU คงที่จากไตรมาสก่อนเป็น 106% ในไตรมาส 1/58 จากเดิม 108% ในไตรมาส 4/57

นอกจากนี้ยังคาดว่า TOP จะมีการกลับรายงาน NRV (2.4 พันล้านบาท จากสิ้นปี 2014) ในไตรมาสนี้มากกว่าการหักล้างขาดทุนสต็อกที่ US$1.5/bbl ซึ่งจะส่งผลให้มีกำไรจากสต็อกสุทธิ 1 พันล้านบาทในไตรมาส 1/58 โดยคาดกำไรจากธุรกิจอะโรเมติกแย่ลงจากส่วนต่าง PX-ULG95 และ BZ-ULG95 แย่ลงจากไตรมาสก่อนอย่างไรก็ตามคาดว่า TOP จะเดินเครื่องโรงงานอะโรเมติกที่ 66% ในไตรมาส 1/58 (เทียบกับ 98% ในไตรมาส 4/57)

โดยคาดว่า TOP จะใช้กำลังผลิตโรงงาน Lube ในอัตราเดิมจากไตรมาสก่อน แต่คาดว่าผลประกอบการของ Lube ที่อ่อนแอเนื่องจากส่วนต่าง 500SN-HSFO ตกลงจาก US$501/ตัน ในไตรมาสที่ 4/57 มาเป็น US$373.50/ตัน ใน 1Q15 รายการพิเศษ จะประกอบด้วยกำไรสต็อกสุทธิ 1 พันล้านบาท และกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน 500 ล้านบาท แนะนำ “ซื้อ” ด้วยมูลค่าที่เหมาะสม 62 บาท (PBV)

 

บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ (27 เม.ย.) คาดว่ากำไรสุทธิของ TOP ในไตรมาสที่ 1/58 จะอยู่ที่ 4.6 พันล้านบาท ซึ่งคาดว่า market GRM จะอยู่ที่ US$8.5/bbl เพิ่มขึ้นจาก US$8.2/bbl ในไตรมาสที่แล้ว

นอกจากนี้ในไตรมาสนี้ TOP ยังได้กลับรายการ LCM 2.4 พันล้านบาท ซึ่งจะส่งผลให้มีกำไรจากสต็อกน้ำมันสุทธิ 847ล้าน ธุรกิจน้ำมันหล่อลื่นของ Thai Oil ปรับตัวดีขึ้นในไตรมาสแรกจากการที่อุปสงค์ฟื้นตัวขึ้น ธุรกิจ Aromatics ถึงจุดคุ้มทุนในไตรมาสแรกแต่อัตราการผลิตยังต่ำแค่ 66% เท่านั้น

ทั้งนี้ยังคงแนะนำให้ “ซื้อ” โดยให้ราคาเป้าหมายที่ 67 บาท คำนวณโดยวิธี sum-of-the-parts โดยใช้ EV/EBITDA เฉลี่ยในอดีตที่ 7.1x และใช้วิธี DCF สำหรับโครงการ SPP โดยชอบแนวโน้มของ TOP ในอีก 2 ปีข้างหน้าจากภาพรวมของอุปสงค์/อุปทาน และการที่บริษัทจะได้อานิสงส์จากทั้งการฟื้นตัวของราคาน้ำมันและกำไรจากสต็อกน้ำมัน