เส้นทางนักลงทุน : เปิดหุ้นรับประโยชน์บาทแข็ง
แม้ว่าเมื่อวันที่ 20 ก.ค. 60 ค่าเงินบาทจะอ่อนค่าลงเล็กน้อยมาอยู่ที่ 33.65 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ เมื่อเทียบกับวันก่อนหน้า แต่ภาพรวมใหญ่ถือว่าเงินบาทยังแข็งค่าอยู่มากเมื่อเทียบกับต้นสัปดาห์ที่ผ่านมาอยู่ที่ 34.04 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ หรือนับตั้งแต่ต้นปีเงินบาทอยู่ที่ 35.80 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ หากคิดเป็นการแข็งค่าจากต้นปีถึงปัจจุบันประมาณ 6.39% นั่นเอง
จากเงินบาทที่แข็งค่านั้น… หุ้นบางกลุ่มได้ฝันหวาน เฉพาะผลบวกต่อผู้ประกอบการที่นำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ กลุ่มหุ้นที่มีต้นทุนเป็นเงินดอลลาร์สหรัฐ กลุ่มโรงกลั่น กลุ่มโรงไฟฟ้าที่อ้างอิงราคาก๊าซและเงินบาท และกลุ่มหุ้นที่มีเงินกู้เป็นดอลลาร์สหรัฐ อย่างเป็นประโยชน์ต่อหุ้นต่อไปนี้
กลุ่มที่นำเข้าวัตถุดิบ เครื่องจักรจากต่างประเทศและมีรายได้หลักในประเทศรวมถึงกลุ่มที่มีหนี้ต่างประเทศ ดังนั้น แนะนำ 1.กลุ่มรับเหมาฯ และอสังหาริมทรัพย์ เช่น ITD, STEC, CK, TTCL, LPN, PS และ AP เนื่องจากต้นทุนเหล็กก่อสร้างและเครื่องจักรก่อสร้างนำเข้าที่น่าจะลดลง รวมถึงต้นทุนในการขนส่ง ค่าเงินบาทที่แข็งค่าจะช่วยสนับสนุนให้ราคาน้ำมัน และราคาวัตถุดิบถูกลง (มาร์จินดีขึ้น)
กลุ่มเหล็ก อย่าง TSTH ได้ประโยชน์จากต้นทุนวัตถุดิบที่เป็นสกุลเงินดอลลาร์
กลุ่มหุ้นที่มีต้นทุนเป็นเงินดอลลาร์สหรัฐ เช่น TVO (นำเข้าถั่ว) เนื่องจากเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายน้ำมันถั่วเหลือง และกากถั่วเหลือในประเทศ
ขณะที่ต้นทุนวัตถุดิบหลัก คือ เมล็ดถั่วเหลือง ซึ่งต้องนำเข้าจากต่างประเทศเป็นส่วนใหญ่ราว 90% ของต้นทุนเมล็ดถั่วเหลือทั้งหมดที่เหลือ 10% ซื้อจากแหล่งผลิตในประเทศ ขณะที่รายได้จากการขายกากถั่วเหลืองและน้ำมันถั่วเหลือง ทั้งหมดจะอยู่ในประเทศ ทำให้เงินบาทที่แข็งค่าขึ้นทุก 1 บาท จะเพิ่มกำไรให้กับ TVO ราว 15%
กลุ่มโรงกลั่น เช่น IRPC, TOP, BCP (ต้นทุนน้ำมัน) เนื่องจากเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นเป็นผลดีทำให้ต้นทุนนำเข้าน้ำมันลดลง
กลุ่มโรงไฟฟ้าที่อ้างอิงราคาก๊าซและเงินบาท เช่น GLOW, EGCO, RATCH, GPSC และ WHAUP
นอกจากนี้ยังมีกลุ่มหุ้นที่มีเงินกู้เป็นดอลลาร์สหรัฐ เช่น THAI และ AVV (สัญญาเช่าทางการเงิน)
สำหรับ THAI รายได้ส่วนใหญ่ 75% อยู่ในรูปสกุลต่างประเทศ (38% ในรูปสกุลดอลลาร์สหรัฐ 27% สกุลยูโร และ 3% เงินเยน) ขณะที่ต้นทุนโดยรวม (น้ำมันเชื้อเพลิง และพนักงานเป็นสกุลดอลลาร์สหรัฐ) 67% ของต้นทุนทั้งหมด และยังมีต้นทุนเงินกู้ยืมอยู่ในรูปสกุลตราต่างประเทศ ซึ่งทำให้สามารถชดเชยส่วนต่างระหว่างรายได้และค่าใช้จ่ายสุทธิได้ โดยสรุป ทุก 1 บาทที่แข็งค่าขึ้น จะหนุนให้กำไรสุทธิของ THAI เพิ่มขึ้นราว 8.56%
ส่วน AAV ดำเนินธุรกิจ Low cost air line มีบริษัทแม่อยู่ในมาเลเซีย ให้บริการในลักษณะเดียวกัน (AAV ถือหุ้นในไทยแอร์เอเชีย 55%) ได้ประโยชน์ในการสร้างอำนาจต่อรอง ทั้งการขยายตลาด และประหยัดต้นทุน ปัจจุบัน AAV มีฐานรายได้ในรูปสกุลเงินตราต่างประเทศสัดส่วนราว 20% ของรายได้รวม ขณะที่ต้นทุนส่วนใหญ่ราว 60% อยู่ในรูปสกุลดอลลาร์สหรัฐ ด้วยเหตุนี้ทุก 1 บาทที่แข็งค่าน่าจะหนุนกำไรสุทธิให้กับ AAV ราว 7%
หุ้นข้างต้นที่นำเสนอไปนั้นนับว่าเป็นตัวอย่างที่มีการตักตวงผลพลอยได้ช่วงระยะเงินบาทที่แข็งค่านั่นเอง!!
…