พาราสาวะถี

คดีปล่อยปละละเลยไม่ระงับยับยั้งจนทำให้รัฐเสียหายจากโครงการรับจำนำข้าวของ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองนัดฟังคำพิพากษา 25 สิงหาคมนี้ โดยก่อนหน้านั้น 1 สิงหาคม อดีตนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของไทยจะแถลงปิดคดีด้วยวาจาด้วยตนเอง เวลานี้จึงเป็นเรื่องที่ฝ่ายความมั่นคงต้องติดตามความเคลื่อนไหวของฝ่ายสนับสนุนกันทุกฝีก้าว


อรชุน

คดีปล่อยปละละเลยไม่ระงับยับยั้งจนทำให้รัฐเสียหายจากโครงการรับจำนำข้าวของ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองนัดฟังคำพิพากษา 25 สิงหาคมนี้ โดยก่อนหน้านั้น 1 สิงหาคม อดีตนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของไทยจะแถลงปิดคดีด้วยวาจาด้วยตนเอง เวลานี้จึงเป็นเรื่องที่ฝ่ายความมั่นคงต้องติดตามความเคลื่อนไหวของฝ่ายสนับสนุนกันทุกฝีก้าว

ไม่ต้องปกปิดอะไร แม้จะเป็นการอ้างแหล่งข่าวจากคสช.แต่แนวโน้มมันก็เป็นเช่นนั้น เมื่อมีข่าวว่า พลเอกเฉลิม ชัยสิทธิสาท ผู้บัญชาการทหารบกสั่งให้กองทัพภาคทั้ง 4 ภาคหาข่าวและทำความเข้าใจกับประชาชนกลุ่มสนับสนุนพรรคเพื่อไทยและอดีตนายกฯหญิง ไม่ให้เคลื่อนไหวและนัดรวมพลกันในวันพิพากษาคดี

งานนี้หนีไม่พ้นการใช้ปฏิบัติการด้านข่าวสารหรือไอโออย่างเข้มข้น เพื่อสะกดแรงกระเพื่อมต่างๆที่จะเกิดขึ้น แม้กระบวนการพิจารณาและตัดสินคดีเป็นดุลพินิจของศาลซึ่งใครก็ไม่อาจที่จะก้าวล่วงหรือวิพากษ์วิจารณ์ได้ แต่ผู้มีอำนาจที่ยึดอำนาจมาจากยิ่งลักษณ์ ย่อมเกรงแรงกระแทกที่จะถาโถมเข้ามาหากผลเป็นไปในทางที่มวลชนผู้ให้การสนับสนุนไม่ต้องการ

ทั้งที่ความจริง แทนที่จะไปสกัดกั้นหรือย่อยสลายประชาชนผู้สนับสนุนยิ่งลักษณ์ ผู้มีอำนาจควรที่จะปล่อยให้มีการจัดตั้งเป็นกลุ่มก้อนแล้วเคลื่อนไหวดีกว่า เนื่องจากม็อบที่มีแกนนำนั้นควบคุมง่ายมากกว่ามวลชนที่ไร้การจัดตั้งหรือไม่มีผู้นำ แต่เมื่อเลือกที่จะเดินทางที่ไปสกัดกั้นกันถึงหน้าบ้านก็ต้องรอดูกันว่าปฏิบัติการอันเด็ดขาดนั้นจะได้ผลหรือไม่

คดีของยิ่งลักษณ์นั้น ไม่ได้เป็นที่จับจ้องหรือสนใจเฉพาะคนไทยและสื่อในประเทศเท่านั้น หากแต่ต่างชาติก็เกาะติดกันอย่างใกล้ชิดเช่นกัน โดยเอเอฟพีมองว่า ยิ่งลักษณ์นับเป็นนายกฯคนแรกของไทยที่ถูกไต่สวนความผิดเนื่องเพราะผลลัพธ์ของการดำเนินตามนโยบาย ทั้งที่ผ่านมา ประเทศไทยใช้มาตรการแจกจ่ายแบบประชานิยมมาทุกยุคทุกสมัย ในขณะที่ค่าใช้จ่ายทางทหารมักได้รับอนุมัติโดยปราศจากการกลั่นกรอง

โดยรายงานของเอเอฟพียังชี้ประเด็นที่น่าสนใจด้วยว่า นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของไทยผู้นี้ถูกถอดถอนออกจากตำแหน่ง และตัดสิทธิทางการเมืองภายหลังการรัฐประหารเมื่อปี 2557 อย่างไรก็ดี เธอยังคงเป็นแรงบันดาลใจสำหรับขบวนการเรียกร้องประชาธิปไตย ด้วยบุคลิกเรียบง่าย ซึ่งไม่ปรากฏในนักการเมืองส่วนใหญ่

แต่ที่วิเคราะห์สถานการณ์ได้อย่างเร้าใจคงเป็นเว็บไซต์ ASEAN Today ซึ่งเผยแพร่บทวิเคราะห์แนวโน้มสถานการณ์การเมืองไทยภายหลังคำพิพากษาคดีโครงการรับจำนำข้าว ของอดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ซึ่งกำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า ที่ต้องขีดเส้นใต้คือบทวิเคราะห์ระบุว่า ไม่ว่ายิ่งลักษณ์ จะถูกศาลตัดสินว่ามีความผิดหรือพิพากษาให้พ้นผิดก็ตาม ประเทศไทยจะยังคงไร้เสถียรภาพต่อไป

โดยที่ผู้เขียนคือ John Pennington กล่าวว่า หากศาลตัดสินว่ายิ่งลักษณ์มีความผิด กรณีของเธออาจจุดให้เกิดการลุกฮือต่อต้านคณะรัฐประหาร แต่ถ้ายกฟ้องหรือลงโทษสถานเบา รัฐบาลทหารจะปกครองต่อไปอย่างยากลำบาก ผู้เชี่ยวชาญบางรายเห็นพ้องกับมุมมองของผู้สนับสนุนยิ่งลักษณ์ที่ว่า การส่งอดีตผู้นำขึ้นศาลเป็นกลยุทธ์ของคณะผู้ปกครองทหาร ที่จะขจัดอิทธิพลของกลุ่มการเมืองชินวัตร

การไต่สวนคดีนี้เป็นเรื่องควบคู่กับการรัฐประหาร มุ่งปิดฉากการท้าทายของ ทักษิณ ชินวัตร แบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด รายงานระบุว่า นักวิเคราะห์และผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่คาดว่า ยิ่งลักษณ์จะถูกตัดสินว่ามีความผิด เธออาจถูกตัดสิทธิทางการเมือง เรียกเงินชดใช้ 35,000 ล้านบาท และอาจถูกจองจำเป็นเวลา 10 ปี อย่างไรก็ดี ถ้าพิพากษาจำคุก ผู้สนับสนุนกลุ่มชินวัตรอาจตอบโต้ทางการเมือง

บทวิเคราะห์ระบุว่า ถ้ายิ่งลักษณ์ถูกลงโทษสถานหนักอาจเป็นต้นเหตุให้เกิดเหตุการณ์ความไม่สงบในเขตชนบท และทำให้เธอกลายเป็นวีรสตรีทางการเมืองในสายตาของผู้สนับสนุน ในทางตรงกันข้าม หากตัดสินให้พ้นผิด ถือเป็นการตบหน้าฉาดใหญ่ต่อคณะรัฐประหาร และสร้างความลิงโลดคึกคักให้แก่มวลชนผู้สนับสนุนยิ่งลักษณ์ ซึ่งจะสั่นคลอนการครองอำนาจของทหาร เสียงเรียกร้องประชาธิปไตยจะยิ่งดังขึ้น

เมื่อพิจารณาจากมุมวิเคราะห์ของสื่อต่างชาติเช่นนี้ แนวโน้มของสถานการณ์นั้นก็พอจะคาดเดากันได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเด็นมวลชนผู้สนับสนุนยิ่งลักษณ์และพรรคเพื่อไทย เป็นสิ่งที่ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา น่าจะเป็นกังวลอย่างยิ่ง มิเช่นนั้น คงไม่เกิดอาการฟิวส์ขาดหลังจากถูกนักข่าวซักถามต่อเนื่องว่าด้วยเรื่องการเตรียมความพร้อมรับมือกลุ่มผู้ที่จะมาให้กำลังใจอดีตนายกฯในการขึ้นศาลนัดสุดท้าย

ไม่เพียงเท่านั้น ความหวั่นไหวที่เห็นได้เด่นชัดแม้อาจจะถูกมองว่าเป็นการเร้ากระแสจากสื่อมวลชนก็ตาม นั่นก็คือ การพยายามจะโหมประโคมข่าวเรื่องมือที่ 3 สร้างสถานการณ์หากประชาชนที่สนับสนุนยิ่งลักษณ์จะเดินทางมาศาลกันจำนวนมาก ทั้งๆที่ความจริง การไต่สวนพยานนัดสุดท้ายในคดีนี้อดีตนายกฯหญิงก็ไม่ใช่เดินทางมาศาลเป็นครั้งแรก

การประเมินของผู้บัญชาการทหารบก ดูเหมือนจะเป็นการมองโลกจากความเป็นจริงมากที่สุดคือ มองอย่างเข้าใจมวลชนผู้สนับสนุน มองด้วยภาวะอะลุ้มอล่วย มองด้วยความเข้าใจในภาวะยิ่งกดยิ่งต่อต้าน ในที่สุดก็อย่างที่เห็น คนที่มาให้กำลังใจยิ่งลักษณ์เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมามีแค่หลักพันและไม่ได้เป็นปัญหาต่อการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ หรือสร้างความเดือดร้อน วุ่นวายใดๆ

บางครั้งก็ต้องมองอย่างเข้าใจในหัวอกของคนที่ไม่อยากให้มีใครมาเถียง ไม่ต้องการให้มีใครออกมาต่อต้าน มิเช่นนั้น คงไม่ใช้มาตรการเด็ดขาดและมาตรายาวิเศษกดทับทุกอย่างไว้มาตลอดระยะเวลากว่า 3 ปีที่ผ่านมา ด้วยแรงกดดันทั้งหลายทั้งปวงนี่เอง จึงถูกแปรเป็นภาวะโพล่งและโมโหเมื่อท่านผู้นำถูกรุกไล่ถามอย่างไม่ลดละจากนักข่าว และยิ่งใกล้วันที่ 25 สิงหาคมไปมากเท่าไหร่ เชื่อได้ว่าแรงกดดันอันว่าด้วยมวลชนทางการเมืองนั้น จะยิ่งถาโถมและกดทับผู้มีอำนาจและชาวคณะมากยิ่งขึ้น แต่สิ่งที่จะช่วยสะกดข่มความกลัวทั้งหลายไว้ได้ก็คือมาตรายาวิเศษนั่นเอง

Back to top button