“สรพจน์” ยันPACEมีหนี้จริง1.9หมื่นลบ.-จ่อปรับหนี้ระยะสั้นเป็นระยะยาว
“สรพจน์” ยันชัด PACE มีหนี้จริง 1.9 หมื่นล้านบาท พร้อมเดินหน้าลุยแผนปรับเปลี่ยนหนี้ระยะสั้นให้เป็นหนี้ระยะยาว หวังลดหนี้สินหมุนเวียนที่มีอยู่ถึง 2 หมื่นล้านบาท
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณีที่นักลงทุนเกิดความกังวลว่า บริษัท เพซ ดีเวลลอปเมนท์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ PACE อาจผิดนัดชำระหนี้กับธนาคารเจ้าของหนี้ เนื่องจากบริษัทมีสินทรัพย์หมุนเวียนประมาณ 1.6 หมื่นล้านบาท แต่หนี้สินหมุนเวียนกลับสูงถึง 2 หมื่นล้านบาท
โดย ล่าสุด นายสรพจน์ เตชะไกรศรี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร PACE เปิดเผยผ่านรายการ “ข่าวหุ้นเจาะตลาด ออนเรดิโอ” ทาง FM 98.5 MHz สถานีข่าวจริง สปริงเรดิโอ ช่วงเวลา 9.30-11.00 น. ว่า ปัจจุบันบริษัทมีหนี้สินอยู่ประมาณ 2.8 หมื่นล้านบาท โดยหนี้สินประมาณ 1.9 หมื่นล้านบาท เป็นหนี้สินกับทางสถาบันการเงินราว 1 หมื่นล้านบาท และหนี้ตั๋วเงินระยะสั้น (ตั๋ว B/E) กว่า 4 พันล้านบาทและตั๋วเงินระยะยาว (หุ้นกู้) กว่า 4 พันล้านบาท ซึ่งจะหมดอายุภายใน 3 ปีข้างหน้า
ส่วนหนี้อีกราว 9 พันล้านบาทเป็นหนี้การค้าหรือเงินรับล่วงหน้าจากลูกค้าที่ซื้อโครงการของบริษัท ทั้งนี้หนี้ดังกล่าวเป็นตัวเลขช่วงการปิดงบประจำไตรมาส 1/60 ขณะที่บริษัทมีหนี้ต่อทรัพย์สินมากกว่า 3.5 หมื่นล้านบาท อย่างไรก็ตาม บริษัทยังคงมี D/E อยู่ที่ประมาณ 19 เท่า ถึงแม้ว่าหนี้สินของบริษัทจะปรับตัวลดลงมาอย่างต่อเนื่อง แต่เนื่องจากบริษัทเข้าลงทุนในโครงการขนาดใหญ่และยังไม่สามารถรับรู้รายได้แม้ว่าจะสามารถจำหน่ายสินค้าออกไปได้แล้ว ดังนั้น จึงส่งผลให้งบทางการเงินของบริษัทมีผลขาดทุนสะสมอย่างต่อเนื่อง
สำหรับการฟื้นฟูหนี้สินนั้น ในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมาบริษัทได้ทยอยชำระคืนตั๋ว B/E ไปแล้วประมาณ 2 พันล้านบาท ขณะเดียวกันในช่วงไตรมาส 2/60 บริษัทได้ทยอยชำระหนี้กับสถาบันการเงินกว่า 1 พันล้านบาท จากการโอนตึกมหานคร จึงส่งผลให้จำนวนหนี้สินค้างชำระปรับตัวลดลงอย่างรวดเร็ว
โดยปัจจุบันบริษัทมีหนี้ตั๋ว B/E อยู่ 2 พันล้านบาท ซึ่งถือว่าเป็นหนี้เป็นระยะสั้นแต่สินทรัพย์ของบริษัทที่มีอยู่นั้นเป็นสินทรัพย์ระยะยาว ดังนั้น บริษัทจึงได้ดำเนินการเปลี่ยนหนี้ระยะสั้นเป็นหนี้ระยะยาว ด้วยการขอวงเงินกู้จากธนาคารเพื่อนำเงินไปชำระหนี้ระยะสั้น ซึงส่งผลให้หนี้สินหมุนเวียนที่บริษัทมีอยู่ถึง 2 หมื่นพันล้านบาทลดลง ทั้งนี้ วงเงินกู้จากธนาคารดังกล่าวจึงกลายเป็นหนี้ระยะยาวแทน
ขณะเดียวกันตึกมหานครยังเหลือห้องรอการโอนเงินอีกประมาณ 7 พันล้านบาท เมื่อบริษัทได้รับเงินจากการโอนเรียบร้อยแล้วก็จะนำเงินไปใช้ชำระหนี้ 5 พันล้านบาท ผนวกกับยังมีห้องพักที่สามารถนำออกมาจำหน่ายเพิ่มได้อีก (สินค้าสต๊อก) 6 พันล้านบาท ทั้งนี้หากบริษัทสามารถจำหน่ายห้องพักได้ทั้งหมดก็จะสามารถนำมาลดหนี้ได้กว่า 1 หมื่นล้านบาท
นอกจากนี้โครงการตึกมหาสมุทร ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จภายใน 2 เดือนข้างหน้ามียอดขายอยู่ 2 พันล้านบาท เมื่อมีการทยอยโอนเงินเข้ามาบริษัทก็จะสามารถนำไปลดหนี้ได้อีก จึงคาดว่าในสิ้นปีนี้หนี้สินของบริษัทอาจเหลือไม่ถึงหมื่นล้านบาท และสัดส่วนหนี้ก็จะไม่สูงกว่าปกติมากนัก