KTC รูดเกือบ 5% หลังธปท.อนุมัติเกณฑ์สินเชื่อบัตรเครดิตใหม่

KTC รูดเกือบ 5% หลังธปท.อนุมัติเกณฑ์สินเชื่อบัตรเครดิตใหม่ โดยปิดตลาดภาคเช้า ราคาอยู่ที่ 105 บาท ลบ 5.50 บาท หรือ 4.98% สูงสุดที่ 111.50 บาท ต่ำสุดที่ 104 บาท มูลค่าซื้อขายที่ 606.30 ล้านบาท


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ราคาหุ้นบริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTC ปิดตลาดภาคเช้า อยู่ที่ 105 บาท ลบ 5.50 บาท หรือ 4.98% สูงสุดที่ 111.50 บาท ต่ำสุดที่ 104 บาท มูลค่าซื้อขายที่ 606.30 ล้านบาท ขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยโดยรวมบวก 0.15%

โดยราคาหุ้น KTC ปรับตัวลง คาดว่ามีสาเหตุมาจากหลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ ธปท. ปรับเกณฑ์สินเชื่อบัตรเครดิต-ส่วนบุคคล พร้อมสั่งลดเพดานดอกเบี้ยบัตรเครดิต 

ด้าน นางฤชุกร สิริโยธิน รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน (ธปท.) เปิดเผยว่า ได้กำหนดการปรับปรุงแนวทางการกำกับดูแลสินเชื่อบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลที่จะมีผลบังคับใช้กับผู้ขอมีบัตรเครดิตหรือผู้ขอสินเชื่อส่วนบุคคลรายใหม่ พร้อมทั้งประกาศปรับลดเพดานอัตราดอกเบี้ยบัตรเครดิตมีผลบังคับใช้กับผู้มีบัตรเครดิตทั้งรายเดิมและรายใหม่ ทั้งหมดจะมีผลตั้งแต่ 1 ก.ย.60 เป็นต้นไป

“เป็นอีกแนวทางที่จะช่วยดูแลการก่อหนี้สินของภาคครัวเรือนให้เหมาะสมขึ้น เนื่องจากประชาชนเข้าถึงสินเชื่อประเภทนี้ได้ง่ายและเป็นสินเชื่อที่ไม่มีหบักประกัน อาจส่งผลให้ประชาชนบางกลุ่มที่มีความเปราะบางก่อหนี้จนเกินความสามารถชำระหนี้ของตนได้” ธปท.ระบุ

สำหรับมาตรการสินเชื่อบัตรเครดิต ได้กำหนดวงเงินแก่ผู้ขอมีบัตรให้เหมาะสมกับความสามารถในการชำนะหนี้ตามรายได้ต่อเดือน โดยผู้มีรายได้ต่ำกว่า 30,000 บาท ได้รับวงเงินไม่เกิน 1.5 เท่าของรายได้ รายได้ตั้งแต่ 30,000 – 50,000 บาท วงเงินไม่เกิน 3 เท่า และรายได้ตั้งแต่ 50,000 บาท ขึ้นไป วงเงินไม่เกิน 5 เท่า และได้ปรับลดเพดานอัตราดอกเบี้ยบัตรเครดิตลงเหลือ 18% จาก 20% ให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจการเงินในปัจจุบันที่ต้นทุนทางการเงินต่ำลง

ขณะที่มาตรการสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับได้ปรับวงเงินสินเชื่อแก่ผู้มีรายได้ต่ำกว่า 30,000 บาทต่อเดือน วงเงินไม่เกิน 1.5 เท่าของรายได้ และได้รับวงเงินสินเชื่อส่วนบุคคลจากผู้ประกอบธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับไม่เกิน 3 ราย สำหรับผู้มีรายได้ต่อเดือนเกิน 30,000 บาทขึ้นไป กำหนดวงเงินไม่เกิน 5 เท่า แต่ไม่จำกัดจำนวนผู้ประกอบธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับที่จะให้สินเชื่อแก่ผู้บริโภคแต่ละราย โดยยังคงเพดานอัตราดอกเบี้ยสูงสุดที่ผู้ประกอบธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับจะเรียกเก็บได้ เพื่อให้สามารถให้บริการสินเชื่อแก่ผู้บริโภคต่างๆ ให้เข้าถึงสินเชื่อในระบบได้

นอกจากนี้ เพื่อเป็นการดูแลผู้บริโภค ธปท.ได้เน้นย้ำให้ผู้ประกอบธุรกิจบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับ ต้องให้ทางเลือกแก่ผู้บริโภคในกรณีที่ไม่ต้องการให้ติดต่อเพื่อเสนอขายผลิตภัณฑ์ โดยต้องมีกระบวนการและดูแลให้เป็นไปตามความประสงค์ของลูกค้า รวมถึงในกรณีที่มีข้อร้องเรียนเกี่ยวกับการเรียกเก็บเงินที่ผิดพลาดของบัตรเครดิต ผู้ประกอบธุรกิจบัตรเครดิตต้องให้สิทธิทางเลือกแก่ผู้ถือบัตรเครดิตที่จะขอรับเงินคืนผ่านช่องทางอื่น นอกเหนือจากการคืนเงินเข้าบัญชีบัตรเครดิตด้วย

Back to top button