พาราสาวะถี

พรุ่งนี้น่าจะเป็นตัวชี้วัดความเข้มข้นในการกดดันและเยี่ยมบ้านเป้าหมายในการเคลื่อนไหวฝ่ายสนับสนุน ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ประสบความสำเร็จตามยุทธวิธี หรือจะมีมวลชนแห่แหนมาให้กำลังใจอดีตนายกรัฐมนตรีหญิง ที่จะเดินทางมาแถลงปิดคดีด้วยวาจาด้วยตัวเองที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง


อรชุน

พรุ่งนี้น่าจะเป็นตัวชี้วัดความเข้มข้นในการกดดันและเยี่ยมบ้านเป้าหมายในการเคลื่อนไหวฝ่ายสนับสนุน ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ประสบความสำเร็จตามยุทธวิธี หรือจะมีมวลชนแห่แหนมาให้กำลังใจอดีตนายกรัฐมนตรีหญิง ที่จะเดินทางมาแถลงปิดคดีด้วยวาจาด้วยตัวเองที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง

เรื่องมิติทางการเมือง แน่นอนทุกความเคลื่อนไหวของฝ่ายยิ่งลักษณ์จะถูกตราหน้าว่าเป็นขบวนการหวังผลดิสเครดิตฝ่ายตรงข้าม แต่ถามกลับ สรรเสริญ แก้วกำเนิด ที่ออกมาพล่ามล่าสุดว่า นักการเมืองหวังผลทางการเมืองจากคดีจำนำข้าวของยิ่งลักษณ์ นักการเมืองที่ว่านั้นคือพวกผูกไท ใส่สูทที่ถูกจำกัดวงการเคลื่อนไหวโดยอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด หรือนักการเมืองที่จำแลงแปลงกายมาจากรัฐราชการกันแน่

ขณะที่คดีในชั้นศาลได้กำหนดวันพิพากษาไว้แล้ว เหตุใดกระบวนการยึดทรัพย์จึงเพิ่งมาปรากฏเด่นชัดเอาในช่วงหน้า ชี้นิ้วกลับไปที่กรมบังคับคดีถามว่าเป็นองค์กรอิสระที่ไม่ได้อยู่ภายใต้อาณัติของใครใช่หรือไม่ คำตอบมันชัดเจนอยู่ในตัวอยู่แล้ว ยิ่งฟังคำอธิบายจาก วิษณุ เครืองาม ยิ่งเห็นภาพของการร้องเพลงคนละคีย์อย่างแจ่มชัด

ไม่เพียงเท่านั้นองค์กรอิสระที่เกิดข้อกังขาจากคนจำนวนไม่น้อยอย่าง.ป.ช. ก็กำลังจะเร่งจัดการยิ่งลักษณ์พร้อมกับครม.ทั้งคณะชุดใหญ่ในคดีอนุมัติจ่ายเงินเยียวยาม็อบเสื้อแดง และคนที่พูดหากจะเทียบก็ไม่ต่างจากการที่คณะเผด็จการคมช.ตั้งคตส.ที่เป็นปฏิปักษ์กับ ทักษิณ ชินวัตร มาตรวจสอบสารพัดเรื่องจนนำมาซึ่งการเอาผิดในที่สุด

เหล่านี้หรือเปล่าที่โฆษกไก่อูควรจะไปทบทวนดูว่าการเมืองที่ต้องการจะเล่นเกมนั้น เป็นการเมืองจากนักการเมืองอาชีพ หรือข้าราชการที่ใช้อำนาจพิเศษมาสวมทับแล้วเล่นการเมืองกันแน่ ความจริงหลายเรื่องมันได้ถูกอธิบายผ่านเหตุการณ์หลายคราว ต่อให้มีการตีเนียนหรือตีมึนอย่างไร คนส่วนใหญ่ก็ดูออกว่า ใคร พวกไหนกันแน่ที่เล่นการเมือง โดยอาศัยหัวโขนคนดีและอำนาจอันเบ็ดเสร็จเด็ดขาดกดทับทุกความเคลื่อนไหว แม้กระทั่งความเห็นอันเป็นความหวังดีต่อบ้านเมือง

กล่าวสำหรับคดีของยิ่งลักษณ์ ไม่จำเป็นที่จะต้องมีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดต้องมาแสดงความคิดเห็น ความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย ไม่ว่าจะมีใครยัดไส้ เพิ่มเติมสิ่งที่อยู่นอกเหนือสำนวน ซึ่งป.ป.ช.ได้สรุปชี้มูลอดีตนายกฯไปแล้วก็ตาม ไม่ได้เป็นการชี้นำ แต่เชื่อว่าทุกอย่างเป็นเรื่องของศาลยุติธรรม ในการจะใช้ดุลพินิจพิจารณาเพื่อผดุงความเป็นธรรมให้ทุกคนอย่างเท่าเทียม

กลยุทธ์ทุกกระบวนท่าที่ปรากฏอยู่เวลานี้ มีการมองกันว่าเป็นการบีบเพื่อให้อดีตนายกฯหญิงหนี แต่ไม่เป็นผลเพราะเจ้าตัวยืนยันที่จะยืนหยัดต่อสู้ให้ถึงที่สุด งานนี้ไม่ใช่เพราะไร้ทางเผ่นเนื่องจากมีการประกบติดทุกฝีก้าว ทว่าผลแห่งคดีเหมือนอย่างที่สำนักข่าวต่างประเทศหลายแห่งทำนายไว้ ถ้ายิ่งลักษณ์ต้องติดคุกเพราะทำตามนโยบายเธอจะกลายเป็นวีรสตรีทางการเมืองในทันที

ส่วนประเด็นมวลชนสนับสนุน ซึ่งจะเดินทางมาให้กำลังใจในวันตัดสินคดี ที่ขอร้องให้ติดตามคดีอยู่ที่บ้านเป็นการขอร้องที่นิ่มนวลและน่าฟัง แต่ประเภทกล่าวหาว่าจะมีมวลชนจัดตั้งถูกจ้างกันมาด้วยเม็ดเงินหลักพันบาทต่อหัว คำพูดพล่อยๆ หรือการข่าวมั่วๆ แบบนี้นี่แหละ ที่จะกลายเป็นแรงผลักให้ประชาชนคนที่เลือกจะอยู่เฉยๆ เกิดอาการหมั่นไส้แล้วเลือกที่จะเดินมาเพื่อท้าทายอำนาจที่กดทับ

หากนึกภาพไม่ออกว่ากระแสด้านกลับเป็นอย่างไรนั้น ให้นึกถึงภาพความพ่ายแพ้ของพรรคการเมืองบางพรรค ที่ชูวาทกรรมเป็นพรรคใสสะอาดแล้วเที่ยวกล่าวหาว่าพรรคคู่แข่งซื้อเสียง จนสุดท้ายตัวเองนั่งเป็นฝ่ายค้านดักดานมานานกว่า 20 ปี นี่คือท่าทีและการแสดงออกของประชาชนยุคที่ไม่ได้มุดหัวมัวแต่ฟังข่าวลือข่าวลวง คนบ้านนอกคอกหน้าที่ถูกตราหน้าว่าโง่และชี้นำได้นั้น วันนี้ไม่มีให้เห็นอีกแล้ว

จะว่าไปเดือนสิงหาคมไม่ได้มีเฉพาะคดียิ่งลักษณ์เท่านั้นที่จะถูกตัดสิน ในวันที่ 25 สิงหาคมวันเดียวกับที่จะมีคำพิพากษาคดียิ่งลักษณ์ จะมีการพิพากษาคดีทุจริตโครงการระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐหรือจีทูจี มี บุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ภูมิ สาระผล อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ พร้อมด้วยนักการเมือง ข้าราชการและเอกชนตกเป็นจำเลยรวม 28 ราย

แต่ก่อนจะไปถึงวันนั้น 2 สิงหาคม ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นัดตัดสินคดีสลายการชุมนุมของระบอบสนธิ-จำลองหน้ารัฐสภาเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2551 จำเลยในคดีประกอบไปด้วย สมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกฯ พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ อดีตรองนายกฯ พลตำรวจเอกพัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และ พลตำรวจโทสุชาติ เหมือนแก้ว อดีตผู้บัญชาการตำรวจนครบาล

เรียกได้ว่าในเดือนนี้จะมีอดีตนายกรัฐมนตรีต้องขึ้นศาลเพื่อรับฟังการชี้ชะตากรรมของตัวเองถึง 3 คน แต่คนจำนวนไม่น้อยกลับจับจ้องไปที่พลตำรวจเอกพัชรวาทในฐานะน้องชายของ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ พี่ใหญ่แห่งบูรพาพยัคฆ์ ถึงขนาดที่ว่าก่อนหน้านั้นมีข่าวว่าป.ป.ช.จะถอนฟ้องในคดีดังกล่าว และแรงกดดันต่างๆ ก็ถามโถมเข้าใส่บิ๊กป้อมในทันที หนนี้ก็เช่นกันไม่ว่าคำพิพากษาจะออกมาอย่างไร เชื่อว่าเจ้าตัวก็หนีไม่พ้นที่จะถูกตั้งคำถามที่ชวนให้หัวเสียได้เหมือนกัน

โจทย์ว่าด้วยเลือกตั้งตามโรดแมป เดิมทีมีแต่คนหัวเราะเยาะกกต.ว่าใช้อะไรมาเป็นตุ๊กตาวางกำหนดเวลาเลือกตั้งไว้ในเดือนสิงหาคม 2561 แต่ล่าสุด พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา คนที่จะเป็นผู้กำหนดทุกอย่าง พูดเองผ่านรายการคืนวันศุกร์ระยะเวลาของคสช.เหลืออีกไม่นาน จะไปสิ้นสุดเอาในเดือนกันยายนปีหน้า นั่นหมายความว่า ปฏิทินของกกต.ใกล้เคียงความเป็นจริงมากที่สุด

เมื่อหันกลับมาดูกระบวนการพิจารณากฎหมายลูก แม้จะมีข้อเห็นต่างระหว่างสนช.กับกรธ. แต่ไม่ใช่ปมที่จะไปต่อกันไม่ได้ หลังปรับความเข้าใจและใช้กระบวนการผ่านคณะกรรมาธิการร่วม ทุกอย่างก็ผ่านฉลุย ทั้งหมดทั้งมวลเหล่านี้อย่างที่รู้กันมันขึ้นอยู่กับว่า “แป๊ะ” ต้องการให้ผลลัพธ์ออกมาแบบไหน เมื่อทุกอย่างต้องตามใจแป๊ะแล้วจะมีใครหน้าไหนมากล้าขวาง

Back to top button