สะใจไบโพลาร์
สะใจจริงๆ กกต.สมชัย ศรีสุทธิยากร วิพากษ์ กรธ.ชุดปู่มีชัยเป็น “ไบโพลาร์” อยากให้พรรคการเมืองเข้มแข็ง กลับกลัวคนเลือกเบอร์พรรค อยากให้คนมีคุณสมบัติสูงเป็นองค์กรอิสระ แต่องค์กรหนึ่ง Set Zero อีกองค์กรให้อยู่ครบวาระ
ทายท้าวิชามาร : ใบตองแห้ง
สะใจจริงๆ กกต.สมชัย ศรีสุทธิยากร วิพากษ์ กรธ.ชุดปู่มีชัยเป็น “ไบโพลาร์” อยากให้พรรคการเมืองเข้มแข็ง กลับกลัวคนเลือกเบอร์พรรค อยากให้คนมีคุณสมบัติสูงเป็นองค์กรอิสระ แต่องค์กรหนึ่ง Set Zero อีกองค์กรให้อยู่ครบวาระ
แน่ละ อ้าปากก็เห็นลิ้นไก่ กกต.สมชัยเจ็บใจ Set Zero ทั้งที่อุตส่าห์เป็นหอเอียงกะเท่เร่ แต่องค์กรอื่นไม่เอียงใช่ไหม? คำพูดสมชัยคงไม่มีน้ำหนักอะไร ถ้า กรธ.ไม่ไบโพลาร์เสียเอง
มีอย่างที่ไหน เขียนรัฐธรรมนูญระบบเลือกตั้งบัตรใบเดียว จากเดิมใช้บัตรสองใบ อ้างระบบสัดส่วนผสม (เบียร์เยอรมันผสมเหล้าโรง) ไม่อยากให้คะแนนตกน้ำ เอาคะแนนผู้สมัครทุกพรรคทั้งประเทศ ทั้งคนชนะคนแพ้มารวมกัน แล้วคำนวณสัดส่วน ว่าแต่ละพรรคจะได้ ส.ส.เท่าไหร่ ตอนนั้นก็คุยว่าเป็นวิธีทำให้พรรคการเมืองเข้มแข็ง ต้องคัดคนมีคุณภาพ เพราะทุกคะแนนมีความหมาย
มาตอนนี้พอเขียนกฎหมายเลือกตั้งท่านกลับจะให้จับสลากแยกเบอร์แต่ละเขต ไม่ใช้เบอร์เดียวทั่วประเทศ อ้างว่าป้องกันไม่ให้ส่งคนขับรถหรือเสาโทรเลข ไม่ต้องเป็นบริวารพรรคการเมือง แล้วก็ท่องคาถาเดิม ป้องกันซื้อเสียง ซ้ำยังด่าคนค้านว่าดูถูกประชาชน
ทั้งที่ประเด็นคือ มันขัดเจตนารมณ์ของระบบที่ท่านวางไว้เอง ย้อนดูคำพูดตัวเองตอนร่างรัฐธรรมนูญบ้างหรือเปล่า
ระบบเลือกตั้งบัตรใบเดียวเอาคะแนนผู้สมัครทุกคนมารวมเป็นคะแนนพรรค เช่นพรรค ก. ได้คะแนนเขตละ 4-5 พัน แม้แพ้ทุกเขตรวมประเทศยังอาจได้ ส.ส.หลายคน ดังนั้นถามว่าระหว่างให้พรรค ก. ใช้เบอร์เดียวทั้งประเทศ กับต้องส่งผู้สมัครกรุงเทพฯ 30 เขต ได้เบอร์ไม่ซ้ำกัน แบบไหนมันสอดคล้อง สะดวก ส่งเสริมเจตนารมณ์เลือกตั้งบัตรใบเดียวของท่านมากกว่า
แต่นั่นละ เราอยู่ในสังคมไบโพลาร์ คนจำนวนมากอ้างตัวมีการศึกษาแต่แค่ได้ยินว่าป้องกันซื้อเสียง ก็ฮือหนุนโดยไม่ใช้หัวคิด รวมทั้งสื่อ ซึ่งคิดอย่างเดียวว่าไม่อยากให้พรรคที่เกลียดกลับมา ยิ่งออกกฎหมายกีดกันลิดรอนพรรคการเมือง ไร้สติไร้เหตุผลเพียงไร สังคมไบโพลาร์ยิ่งสะใจ
เหมือนกฎหมายพรรคการเมือง อยู่ๆ สนช.ก็ต่อเติม “ไพรมารีโหวต” ของดีมีประโยชน์ เอาเข้าจริงมีแต่บทลงโทษ ไม่ทำก็ผิดทำก็อาจติดคุก เพราะเขียนกฎหมายจ้องจับผิด
ใครกันแน่ดูถูกประชาชน ลบล้างลิดรอนอำนาจจากเลือกตั้ง กระทั่งไม่ไปเลือกตั้ง “นอนหลับทับสิทธิ” ก็กลายเป็นความผิด ถูกตัดสิทธิเลือกตั้ง 2 ปี ซึ่งไม่เคยพบไม่เคยมี ก่อนนี้ยังแค่ตัดสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง
บางคนอาจบอกว่าเหมาะแล้ว ใครไม่ไปเลือกตั้งก็ไม่ต้องใช้สิทธิอีก ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 50 ล้านจะได้ลดลงๆ เหลือ 40 ล้าน 30 ล้าน นี่คือวิธีคิดเพี้ยนๆ จากการมุ่งรณรงค์ให้คนไปใช้สิทธิเลือกตั้ง จนออกกฎหมายบังคับ “เป็นหน้าที่ไปใช้สิทธิ” ทั้งที่สิทธิกับหน้าที่ มันคนละเรื่องกัน
สิทธิมีติดตัวเรา จะใช้หรือไม่ใช้ก็ได้ เช่นสิทธิรักษาฟรี ขึ้นรถเมล์ฟรี วันนี้ไม่ใช้พรุ่งนี้ก็ยังใช้ได้ ไม่เหมือนหน้าที่ เช่นต้องเสียภาษี เสียไม่ทันโดนปรับ
สิทธิเลือกตั้งเป็นสิทธิทางการเมืองขั้นพื้นฐานและสำคัญที่สุด เพราะเป็นสิทธิที่จะใช้อำนาจอธิปไตย เป็นอำนาจที่จะใช้หรือไม่ใช้ก็ได้ นี่กลับเขียนกฎหมายลงโทษ ถ้าไม่ใช้จะถูกริบถูกยึดอำนาจไป
ใครกันแน่ดูถูกประชาชน เห็นประชาชนเป็นเด็ก ลงโทษริบอำนาจตัดสิทธิกันง่ายๆ