BCPG รายได้ขายไฟฟ้าทะลุ 890 ลบ. ดันกำไร Q2 แตะ 462 ลบ. เชื่อผลงานครึ่งหลังโตต่อเนื่อง
BCPG รายได้ขายไฟฟ้าทะลุ 890 ลบ. ดันกำไร Q2/60 แตะ 462.47 ลบ. จากปีก่อน 454.92 ลบ. ขณะที่ช่วง 6 เดือนแรกกำไรอยู่ที่ 916.46 ลบ. ลดลง 14% จากปีก่อน 1.07 พันลบ.
บริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) หรือ BCPG รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 2/60 (รวมบริษัทย่อย) สิ้นสุดวันที่ 30 มิ.ย.60 ดังนี้
โดย นายบัณฑิต สะเพียรชัย กรรมการผู้จัดการใหญ่ BCPG เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานในไตรมาสที่ 2/60 บริษัทมีกำไรสุทธิประมาณ 462 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน หลังได้รับผลกระทบจากการขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยนจากเงินบาทที่แข็งค่า
อย่างไรก็ตามเมื่อพิจารณากำไรสุทธิก่อนผลกระทบอัตราแลกเปลี่ยนเงินจะอยู่ที่ประมาณ 577 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 98% จากไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว ซึ่งสะท้อนถึงผลการดำเนินการจริงที่ดีขึ้นอย่างมาก
โดยในไตรมาส 2/60 บริษัทมีรายได้จากการจำหน่ายไฟฟ้าประมาณ 890 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17.1% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ซึ่งผลการดำเนินงานนับว่าอยู่ในเกณฑ์ดี ทุกโครงการที่เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์แล้วทั้งในประเทศไทยและประเทศญี่ปุ่นสามารถจำหน่ายไฟฟ้าได้ตามแผนเต็มไตรมาส โดยธุรกิจในประเทศญี่ปุ่น มีผลประกอบการดีมากเมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว เป็นผลจากโครงการที่เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์เพิ่มขึ้นและจากสภาพภูมิอากาศที่เอื้ออำนวยต่อการผลิตไฟฟ้า ทำให้บริษัทมีรายได้ประมาณ 171 ล้านบาทจาก 6 โครงการ กำลังการผลิตตามสัญญารวม 30 เมกะวัตต์ ขณะที่ไตรมาส 2/59 มีรายได้ประมาณ 43 ล้านบาทจาก 4 โครงการ กำลังการผลิตตามสัญญารวม 10.7 เมกะวัตต์
นอกจากนี้ บริษัทยังมีรายได้จากการปรับปรุงทางบัญชีจากการชำระค่าตอบแทนที่เหลือสำหรับการเข้าซื้อธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศญี่ปุ่นจำนวนประมาณ 140 ล้านบาท และรับรู้กำไรจากการลงทุนธุรกิจพลังงานลมในประเทศฟิลิปปินส์ประมาณ 43 ล้านบาทอีกด้วย
ทั้งนี้ บริษัททำงานเชิงรุก ขยายธุรกิจอย่างก้าวกระโดด เพื่อย้ำความเป็นผู้นำในการประกอบธุรกิจพลังงานสะอาดแบบ pure play ที่มีการใช้เทคโนโลยีการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนหลากหลายรูปแบบ โดยธุรกิจล่าสุดที่ร่วมลงทุนคือธุรกิจพลังงานความร้อนใต้พิภพในประเทศอินโดนีเซียที่เพิ่งจะลงนามในสัญญาผู้ถือหุ้นและรับโอนหุ้นมาเมื่อเร็ว ๆ นี้ ทำให้ในวันนี้ บริษัทมีกำลังการผลิตไฟฟ้าตามสัญญารวมประมาณ 600 เมกะวัตต์ หรือเพิ่มขึ้น 50% จากช่วงเวลาเดียวกันของปี 59
ขณะเดียวกัน บริษัทยังคงให้ความสำคัญในการทำธุรกิจอย่างมีธรรมาภิบาลเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน และพร้อมปรับตัวให้ทันกับความเปลี่ยนแปลงที่กำลังเกิดขึ้น โดยกำลังอยู่ระหว่างการวางแผนธุรกิจรูปแบบใหม่เพื่อก้าวสู่การเป็นผู้ให้บริการธุรกิจพลังงานหมุนเวียนที่ใกล้ชิดผู้บริโภคมากยิ่งขึ้น จากการที่เทคโนโลยีใหม่ๆ ในยุคดิจิตอล (disruptive technology) จะพลิกโฉมธุรกิจพลังงาน ทำให้เกิดการขายไฟฟ้าผ่านอินเตอร์เน็ต (internet of energy) ในอนาคตอันใกล้นี้
“สำหรับการดำเนินงานในครึ่งหลังของปีนี้จะมีปัจจัยบวกซึ่งจะช่วยทำให้ผลประกอบการดีขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากโครงการพลังงานลมในประเทศฟิลิปปินส์และโครงการพลังงานความร้อนใต้พิภพในประเทศอินโดนีเซีย นอกจากนี้บริษัทมีการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ ด้วยการจัดหาเงินกู้ที่ในสกุลเงินที่เหมาะสมกับการดำเนินงานในประเทศนั้น ๆ เพื่อลดความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน” นายบัณฑิต กล่าว