ผู้ว่าฯ ธปท.ชี้บาทแข็งไม่กระทบส่งออก ยันไม่พบสัญญาณการเก็งกำไรผิดปกติ
ผู้ว่าฯ ธปท.ชี้บาทแข็งไม่กระทบส่งออก ยันไม่พบสัญญาณการเก็งกำไรผิดปกติ
นายวิรไท สันติประภพ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า เงินบาทที่แข็งค่าขึ้นในช่วงที่ผ่านมาตั้งแต่ต้นปีเพิ่มขึ้น 7% แม้จะเทียบกับประเทศคู่แข่งจะเห็นว่าสูงสุด แต่ก็เป็นการเพิ่มขึ้นในหลักทศนิยม และการแข็งค่าก็เป็นปัจจัยภายนอก ซึ่งคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีการติดตามพัฒนาการอย่างใกล้ชิด โดยยอมรับว่าการบริหารความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน ที่มาจากปัจจัยภายนอก เช่น ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ เป็นเรื่องที่คาดเดาได้ยาก
อย่างไรก็ตาม ค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น จะไม่กระทบต่อการขยายตัวของการส่งออกในปีนี้ ซึ่งจะเห็นว่าในบางปีค่าเงินบาทแข็งค่า แต่การส่งออกยังสามารถขยายตัวได้ดี หรือบางปี ค่าเงินอ่อนค่า แต่การส่งออกกลับชะลอตัว ซึ่งปัจจัยหลักที่จะส่งเสริมให้การส่งออกเติบโตได้มาจากความต้องการและการขยายตัวเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าซึ่งมีผลมากกว่า แต่ก็ยังต้องระวังในบางธุรกิจที่นำเข้าสินค้าเพื่อส่งออก อาจจะได้ประโยชน์ แต่สินค้าภาคการเกษตรอาจะได้รับผลกระทบบ้าง แต่ก็ต้องเทียบกับปริมาณที่เพิ่มขึ้นด้วย
ทั้งนี้ ได้มีการหารือกับสมาคมธนาคารไทย ให้ชี้แจงทำความเข้าใจกับลูกค้าเกี่ยวกับทิศทางค่าเงิน และให้คำแนะนำลูกค้าให้เลือกใช้สกุลเงินที่มีความเสี่ยงน้องกว่า โดยในส่วนของธปท.อยู่ระหว่างพิจารณามาตรการช่วยเหลือผู้ส่งออกรายเล็ก เสนอต่อ คณะรัฐมนตรี (ครม.) เร็วๆนี้ โดยในส่วนของรายละเอียดมาตรการขอให้ผ่านความเห็นชอบจากครม.ก่อน
ขณะที่การไหลเข้าของเงินทุนต่างประเทศในขณะนี้ ไม่เหมือนในอดีต เช่น การเข้ามาซื้อตราสารหนี้ระยะสั้นเพื่อเป็นการพักเงิน ที่ผ่านมา ธปท.ก็มีมาตรการชะลอการออกพันธบัตรระยะสั้น ประกอบกับช่วงนี้เข้าสู่ปลายปีงบประมาณ ทำให้รัฐบาลไม่มีความจำเป็นเป็นในการออกพันธบัตร เพื่อระดมทุนมาใช้ในโครงการต่างๆ ทำให้ผลตอบแทนไม่ได้ปรับเพิ่มขึ้น สะท้อนถึงปริมาณเงินทุนที่ไหลเข้าในช่วงนี้เฉลี่ยที่ 10% ของดุลบัญชีเดินสะพัดที่เกินมา ซึ่งถือว่าไม่สูงมาก
“เงินทุนที่ไหลเข้าช่วงนี้ ยังไม่พบว่ามีสัญญาณการเก็งกำไรที่ผิดปกติ ซึ่งหากพบว่ามีสัญญาณ ธปท.ก็พร้อมที่จะใช้เครื่องมือเข้าไปควบคุมดูแล แต่คงไม่สามารถบอกได้ว่าจะใช้อะไรบ้าง หรือจะขยายเวลามาตรการชะลอการออกพันธบัตรระยะสั้น ออกไปนานเท่าไหร่ ซึ่งไม่ต้องการให้ตลาดคาดเดาได้ และธปท.ก็มีเครื่องมือที่หลากหลาย การนำมาใช้จึงต้องผสมผสานให้เหมาะสม” นายวิรไท กล่าว
อย่างไรก็ดี คาดว่าการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดในปีนี้จะอยู่ที่เฉลี่ย 9% ของจีดีพี ลดลงจากปีก่อนที่ 12% ของจีดีพี มาจากคาดว่า ไทยจะมีการลงทุนเพิ่ม ทั้งภาครัฐและเอกชน ซึ่งจะมีการนำเข้าสินค้าเพิ่มขึ้น โดยการลงทุนที่เกิดขึ้นในส่วนของการลงทุนสินทรัพย์ถาวรเริ่มชะลอลง เมื่อเทียบกับการลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการส่งออก ซึ่งมีสัดส่วนที่เพิ่มสูงขึ้น
นายวิรไท กล่าวอีกว่า ธปท.จะติดตามความต่อเนื่องของการเปลี่ยนแปลงอัตราแลกเปลี่ยน โดยที่ผ่านมาค่าเงินบาท รวมทั้งสกุลเงินอื่นๆในภูมิภาค มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น จาก 4 ปัจจัย หลัก คือ 1.มุมมองนักลงทุนที่ยังกังวลต่อเศรษฐกิจและปัญหาการเมืองของสหรัฐ ที่ยังมีความไม่แน่นอน จากสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินอื่นๆ 2.ไทยเกินดุลบัญชีเดินสะพัดต่อเนื่องจาการส่งออกที่ขยายตัว 3.ปลายเดือน ก.ค.ที่ผ่านมา มีการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศในบางรายการเข้ามามาก และ 4.ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์โลก เช่น ปัญหาความตึงเครียดจากคาบสมุทรเกาหลี ซึ่งส่งผลต่อค่าเงินวอน
ส่วนที่มีการมองกันว่าเศรษฐกิจฐานรากยังไม่ฟื้นตัวนั้น นายวิรไท มองว่า ขณะนี้เศรษฐกิจฟื้นตัวโดยได้อานิสงส์จากภาคต่างประเทศ คือ การท่องเที่ยวและการส่งออก และอานิสงส์จากภาครัฐ ทั้งการใช้จ่ายงบประมาณและการลงทุนในมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ทำให้เริ่มเห็นสัญญาณการเติบโตแบบกระจายตัวเพิ่มขึ้น สะท้อนในบางธุรกิจส่งออกที่ขยายตัวดี และเริ่มเห็นมีการขอสินเชื่อเงินทุนหมุนเวียนเพิ่มขึ้น