BCPตั้งเป้าปีนี้ EBITDA โต20% ลุยพลังงานทดแทนเต็มสูบ พร้อมรุกขยายสาขาปั๊ม-ร้านSPARเพิ่ม

BCP ตั้งเป้าสิ้นปีนี้ EBITDA โต 20% เดินหน้าขยายธุรกิจพลังงานทดแทน พร้อมรุกขยายปั๊ม 80 สาขา -ร้าน SPAR Supermarket อีก 34 สาขาภายในปี 60


นายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ BCP เปิดเผยถึงแผนการดำเนินธุรกิจในครึ่งปีหลัง 60 ว่า บริษัทยังคงเดินหน้าขยายธุรกิจด้านพลังงานสีเขียวและธุรกิจเกี่ยวเนื่องเพื่อสร้างความมั่นคงด้านพลังงาน โดยตั้งเป้าหมายสิ้นปี 60 มีกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อม และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) เติบโตร้อยละ 20 จากปีก่อน

ด้านธุรกิจโรงกลั่น มีแผนพัฒนาเพิ่มประสิทธิภาพของโรงกลั่นน้ำมันบางจากอย่างต่อเนื่องเพื่อก้าวสู่การเป็นโรงกลั่นน้ำมันระดับโลก โดยจะทำโครงการหน่วยเพิ่มออกเทนเพื่อผลิตน้ำมันแก๊สโซลีน ซึ่งอยู่ระหว่างคัดเลือกบริษัทผู้รับเหมาก่อสร้าง คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จในปี 63 และโครงการขยายกำลังการผลิต ซึ่งอยู่ระหว่างการออกแบบ คาดว่าจะเลือกบริษัทผู้รับเหมาก่อสร้างได้กลางปีหน้า รวมทั้งโครงการปรับปรุงเสถียรภาพ เพิ่มประสิทธิภาพ ความปลอดภัย กำลังการผลิต และการดูแลสิ่งแวดล้อม

ส่วนธุรกิจการตลาด มีเป้าหมายขยายสถานีบริการ 80 สาขาในปีนี้ โดยจะเน้นทำเลยุทธศาสตร์ที่สามารถสร้างรายได้ และเพิ่มยอดจำหน่ายผลิตภัณฑ์เกรดพรีเมียม รวมทั้งจะขยายสถานีบริการชุมชนเพิ่มขึ้นอีก 15 แห่ง รวมเป็น 625 แห่งภายในสิ้นปี 60 เพื่อเป็นการสร้างงานและสร้างรายได้ให้กับกลุ่มเกษตรกรซึ่งเป็นเศรษฐกิจฐานรากของประเทศ นอกจากนี้ ยังตั้งเป้าหมายขยายร้าน SPAR Supermarket เพิ่มอีก 34 สาขาภายในปี 60 และจะขยายให้ได้ครบ 400 สาขาในปี 64 สำหรับร้านกาแฟอินทนิล จะขยายเพิ่ม 120 สาขาในปี 60 และตั้งเป้าให้ได้ครบ 900 สาขาในปี 64

ทั้งนี้ บริษัทมีแผนส่งออกผลิตภัณฑ์ชุมชน ผ่านร้าน SPAR Inter ไปยังประเทศออสเตรเลียและจีนในเดือนตุลาคมนี้ โดยส่งออกข้าวสารหอมมะลิ ข้าวสารขาว จากกลุ่มเกษตรกร จังหวัดนครราชสีมา ผลไม้อบแห้ง มะม่วงกระป๋องในน้ำเชื่อมจากจังหวัดสมุทรสาคร ไปยังประเทศออสเตรเลีย สำหรับผลิตภัณฑ์ที่จะส่งไปจัดจำหน่ายที่ประเทศจีน มีมะม่วง มะละกอ สับปะรดอบแห้ง จากจังหวัดสมุทรสาคร และกลุ่มสินค้าเครื่องดื่มจากธรรมชาติ เช่น น้ำมะพร้าวน้ำหอมออร์แกนิค 100% และน้ำมะนาวที่รับซื้อจากเกษตรกรใน 3 จังหวัด คือ กาญจนบุรี ราชบุรี และนครปฐม

นอกจากนี้ ยังได้สนับสนุนผลิตภัณฑ์กลุ่มธุรกิจ ขนาดกลาง และขนาดย่อม (SME) ซึ่งกลุ่มสินค้าที่มีศักยภาพและตลาดมีความต้องการในขณะนี้ คือ ผลไม้อบแห้ง ผลไม้แปรรูป นมอัดเม็ด คุกกี้ ข้าว และขนมขบเคี้ยวอื่น ๆ ในเบื้องต้น จะพัฒนาผลิตภัณฑ์ 3 รายการ คือ ชมพู่แก้วแปรรูป โดยกลุ่มแม่บ้านเกษตรกร เขาบายศรี จังหวัดจันทบุรี ลูกอมสัปปะรดกะทิสด โดยกลุ่มแม่บ้านหนองกาพัฒนา จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และกล้วยอบเนย ของกลุ่มสตรีสหกรณ์บ้านหนองตูม จังหวัดสุโขทัย ภายใต้แนวคิด “สพาร์ ร่วมพัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืน”

สำหรับธุรกิจผลิตภัณฑ์ชีวภาพ ได้มีการควบรวมกิจการด้านธุรกิจชีวภาพกับบมจ.น้ำตาลขอนแก่น (KSL) โดยบริษัทถือหุ้น 60% เพื่อก้าวสู่บริษัทชีวภาพอันดับหนึ่งของประเทศ พร้อมต่อยอดไปยังธุรกิจผลิตภัณฑ์ยา เครื่องสำอาง อาหาร และ Bio Specialty ในเขตพื้นที่เศรษฐกิจพิเศษทางภาคตะวันออก (EEC) ที่สอดคล้องกับนโยบายส่งเสริมของภาครัฐ และมีแผนจะนำบริษัทธุรกิจชีวภาพเข้าไปจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ต่อไป

อนึ่ง ผลการดำเนินงานบริษัท ในช่วงครึ่งปีแรก 60 มีรายได้จากการขายและให้บริการ 86,823 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 29% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มีกำไรสุทธิ 3,076 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

Back to top button