พาราสาวะถี
คงเก็บภาพการเดินทางกลับบ้านเกิด ซึ่งความจริงต้องบอกว่าค่ายเกิดมากกว่า เพราะ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ตอนแรกคลอดนั้นเกิดภายในค่ายทหารที่จังหวัดนครราชสีมา การลงพื้นที่ประชุมครม.นอกสถานที่หนนี้ คงทำให้นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคสช.มีความกระปรี้กระเปร่าและคึกคักขึ้นมาไม่ใช่น้อย เพราะได้แรงใจมาแบบเต็มๆ
อรชุน
คงเก็บภาพการเดินทางกลับบ้านเกิด ซึ่งความจริงต้องบอกว่าค่ายเกิดมากกว่า เพราะ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ตอนแรกคลอดนั้นเกิดภายในค่ายทหารที่จังหวัดนครราชสีมา การลงพื้นที่ประชุมครม.นอกสถานที่หนนี้ คงทำให้นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคสช.มีความกระปรี้กระเปร่าและคึกคักขึ้นมาไม่ใช่น้อย เพราะได้แรงใจมาแบบเต็มๆ
กับคำถามที่ว่าถ้าเลือกตั้งจะเลือกใครประชาชนต่างพากันพร้อมใจตะโกนกลับ”เลือกประยุทธ์” ยิ่งทำให้หัวใจพองโต และยิ่งเมื่อนำมาประกบกับคำพูดของท่านผู้นำที่บอกว่า ทหารพูดคำไหนคำนั้น ตัวเองจะไปตามขั้นตอนอย่ามาไล่ก็แล้วกัน ยิ่งไล่ยิ่งไม่ไป ยิ่งทำให้เห็นภาพของผู้บริหารประเทศภายหลังจากการเลือกตั้งครั้งหน้าได้เป็นอย่างดี
ส่วนคำพูดที่ว่า ไม่รู้จะเข้าไปได้อย่างไร เพราะทุกอย่างเป็นเรื่องชะตากรรมของบ้านเมือง และถึงอย่างไรตนก็ต้องรับชะตากรรมอยู่แล้ว ในเมื่อได้ก้าวเข้ามาอยู่ตรงนี้ แต่ความหมายของการเลือกตั้ง คือจะต้องได้รัฐบาลที่มีธรรมาภิบาล โดยที่ตนไม่ได้ลงเลือกตั้ง ซึ่งนั่นไม่ใช่ปัญหาอะไร เนื่องจากกฎหมายสูงสุดของบ้านเมืองร่างโดยคณะกรรมการที่หัวหน้าคสช.ตั้งมากับมือระบุชัดเจน สามารถมีนายกฯคนนอกได้ จึงไม่ใช่ปัญหาใหญ่
จะว่าไปแล้วชะตากรรมที่บิ๊กตู่บอก ความจริงน่าจะเป็นชะตากรรมของนักการเมืองในวิถีของระบอบประชาธิปไตยเสียมากกว่า เพราะสัญญาณมันชัดเจนนับตั้งแต่เห็นการร่างรัฐธรรมนูญและการร่างกฎหมายลูกที่เกี่ยวข้องทั้งหมดแล้ว พรรคใดชนะเลือกตั้งไปก็เปล่าประโยชน์ ในเมื่อระบบหรือชะตากรรมที่ถูกขีดด้วยมือของคณะทำงานที่พลเอกประยุทธ์ตั้งขึ้นทั้งหมด มันได้กำหนดไว้หมดแล้ว
ดังนั้น คำพูดที่ออกมาจากปากของท่านผู้นำจึงเป็นเพียงแค่การเรียกคะแนนสงสาร ประกอบกับการขอแรงใจจากประชาชนเพื่อช่วยสร้างความชอบธรรมให้กับคณะรัฐประหารเท่านั้นเอง ความเป็นจริงหากอยากให้หลังการเลือกตั้งนักการเมืองทุกคนต้องเผชิญชะตากรรมที่ตัวเองไม่ได้กำหนด ก็ควรต้องให้ผู้นำประเทศมาจากการเลือกตั้งเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
โดยหากว่าพลเอกประยุทธ์มั่นใจในคะแนนเสียงของประชาชนที่ตะโกนบอกว่าจะเลือกประยุทธ์ ก็ต้องเข้ามาสู่ระบบที่ผ่านการเลือกของประชาชนอย่างถูกต้อง ไม่ใช่ทำตัวเป็นพวกอีแอบ คอยจะสวมบทเป็นฮีโร่มาเสียบเพื่อชาติหรือเสียสัตย์เพื่อชาติ หรือหากเชื่อมั่นว่าประชาชนรักและจริงใจกับคณะรัฐประหารอย่างแท้จริง ก็ควรยกเลิกมาตรา 44 เสีย แล้วใช้กฎหมายปกติในการปกครองบ้านเมือง
แต่ตราบใดที่ยังใช้มาตรายาวิเศษและอำนาจอันเบ็ดเสร็จเด็ดขาดกดทับทุกอย่างไว้ นั่นก็ไม่ได้สะท้อนภาพปัญหาที่แท้จริง คนที่มีฝีมือและเชื่อมั่นว่าเป็นที่รักของประชาชนจะต้องยอมรับในกลไกของระบอบประชาธิปไตยและระบบนิติรัฐ นิติธรรม ที่ไม่มีใครอยู่เหนือกฎหมาย ไม่มีอำนาจอันวิเศษใดมากดทับปัญหาไว้ โดยที่ไม่รู้ว่าในวันข้างหน้าหากไม่มีกฎหมายวิเศษแล้ว สถานการณ์ของบ้านเมืองจะเป็นอย่างไร
เหมือนอย่างกรณีที่ศาลจะมีการอ่านคำพิพากษา ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในวันศุกร์นี้ ทำไปทำมากลายเป็นว่าทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคง ต่างพากันโหมประโคมข่าวกันอึกทึกครึกโครมใหญ่โต ประมาณว่านี่คือการขึ้นศาลของวีรสตรีที่จะมีคนแห่แหนกันมาให้กำลังใจเรือนหมื่นเรือนแสน และจะทำให้ฝ่ายผู้มีอำนาจเสียความรู้สึกหรือถูกตบหน้าอะไรประมาณนั้น
จนถึงขนาดทุ่มสรรพกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจหลักเกือบหมื่นนายเพื่อที่จะดูแลพื้นที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ในขณะที่อีกด้านก็ส่งกำลังทั้งทหารและตำรวจไปบล็อกประชาชนที่ถูกมองว่าเป็นแกนนำของฝ่ายสนับสนุนระบอบทักษิณกันถึงหน้าบ้าน มากไปกว่านั้นมีการจับมือให้เซ็นสัญญาว่าจะไม่เข้ากรุงมาให้กำลังใจอดีตนายกฯหญิงด้วย
วิธีการที่ใช้ไม่ว่าจะอ้างเรื่องฝึกกำลังที่ลำพูนเพื่อไปประจำการจังหวัดชายแดนใต้หรืออะไรก็สุดแท้แต่ ปัจจุบันประชาชนไม่ได้โง่ และโลกของข้อมูลข่าวสารไม่ได้คับแคบ ที่จะปล่อยให้ข่าวลือข่าวลวงหรือการโฆษณาชวนเชื่อมาเป่าหูให้คนเชื่อได้อีกต่อไป ทุกคนรับรู้และเข้าใจกันได้เองว่า ใครทำอะไรและมีวัตถุประสงค์อย่างไร
ไม่เพียงเท่านั้น ทุกคนยังรู้ด้วยว่าสถานการณ์ที่เป็นอยู่เวลานี้ควรจะทำตัวอย่างไร โดยเฉพาะฝ่ายที่สนับสนุนระบอบทักษิณ ที่จะว่าไปแล้วปรับตัวและเข้าใจบริบทที่ควรจะเป็นได้เป็นอย่างดีว่า ควรทำอะไร สิ่งไหนเหมาะสมหรือไม่ และเมื่อไหร่คือเวลาที่ควรจะต้องแสดงบทบาทในสิ่งที่ควรจะเป็น จะมีก็แต่เพียงผู้ที่ได้อำนาจมาด้วยวิธีการพิเศษเท่านั้น ที่กินไม่ได้นอนไม่หลับกับความกลัวที่ตัวเองสร้างขึ้น
บทเรียนจากการสลายการชุมนุมเมื่อปี 2553 และคดีที่ตามมาเป็นพรวนรวมถึงบทสรุปแห่งคดี เป็นสิ่งที่เตือนใจมวลชนของระบอบทักษิณเป็นอย่างดี ยิ่งในภาวะเช่นนี้คนเหล่านั้นรู้ดีว่ากำลังสู้กับอะไรและคุ้มกันหรือไม่ที่จะสร้างความเดือดร้อนวุ่นวายหากผลแห่งคดีของยิ่งลักษณ์เป็นไปตามที่ผู้มีอำนาจปรารถนา อาจจะมีบ้างสำหรับความรู้สึกแห่งการถูกกดทับ แต่ก็ต้องยอมรับความเป็นจริงที่เห็นและเป็นไปตลอดระยะเวลากว่า 10 ปีที่ผ่านมา
จะเห็นได้ว่าการเงียบสงบของฝ่ายต่อต้านคณะรัฐประหาร ไม่ได้หมายความถึงการสยบยอมต่ออำนาจเผด็จการ หากแต่คนเหล่านั้นเรียนรู้แล้วว่าสู้ไปก็เหนื่อยเปล่า ทุกอย่างปล่อยให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ ทุกเรื่องปล่อยให้ผลแห่งการกระทำเป็นตัวชี้วัด และท้ายที่สุดหากคนส่วนใหญ่ที่ไม่ได้หมายถึงพวกหนุนระบอบทักษิณเพียงฝ่ายเดียวต่างเดือดร้อนทั่วหน้า เมื่อนั้น มันอาจจะเป็นบทสรุปของความอดทนว่าจะทนต่ออำนาจพิเศษต่อไปหรือไม่
ความเป็นจริงที่รับรู้ร่วมกัน การรอคอยของผู้มีอำนาจนั้นไม่ได้อยู่ที่ตัวบทกฎหมายที่ล็อคทุกอย่างไว้ตามความต้องการ หากแต่อยู่ที่การหวังว่าเศรษฐกิจจะดีขึ้น เพราะถ้าปัญหาปากท้องของประชาชนหมดไป นั่นจะกลายเป็นความชอบธรรมแห่งการอยู่ต่อ นานเท่าไหร่ก็สุดแท้แต่ความปรารถนา แต่ยิ่งนานวันก็ยังมองไม่เห็นฝั่งฝัน มันก็จะกลายเป็นความเครียดและหมดหวัง สุดท้ายก็จะมาระบายผ่านคำพูดและการกระทำประจานตัวเองให้สังคมได้รับรู้เหมือนอย่างที่เห็นอยู่หลายๆครั้งนั่นเอง