ได้เวลาสอย! MINT รับผลดีท่องเที่ยวบูม ลุ้นกำไร Q3 โตกระฉูด
ได้เวลาสอย! MINT รับผลดีท่องเที่ยวบูม หนุนกำไร Q3 โตกระฉูด ด้าน โบรกฯ ชี้ได้เวลาเข้าลงทุนรอบใหม่ หลังราคาปรับตัวลงต่อเนื่อง-Laggard ในกลุ่ม
“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ได้ทำการสำรวจข้อมูลบทวิเคราะห์ของบริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT หลังนักวิเคราะห์มองว่า ในครึ่งหลังปี 60 จะเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่นของ MINT ทั้งธุรกิจโรงแรมในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงธุรกิจอาหาร หลังการท่องเที่ยวยังฟื้นตัวต่อเนื่อง โดยตัวเลขนักท่องเที่ยวล่าสุดเดือนก.ค.สูงสุดในรอบ 17 เดือน
นอกจากนี้ยังมองว่า เป็นจังหวะดีในการเข้าซื้อได้ อีกทั้งยังมีปัจจัยบวกจากนโยบายการกระตุ้นภาคการท่องเที่ยวของภาครัฐที่กำลังพิจารณาอยู่ ทั้งนี้จากปัจจัยดังกล่าวข้างต้นทำให้คาดว่า ผลประกอบการในไตรมาส 3/60 จะปรับตัวเพิ่มขึ้นทั้งจากปีก่อนและไตรมาสก่อน และกำไรทั้งปีจะเติบโตได้อย่างโดดเด่น
ขณะที่ราคาหุ้น MINT ปิดตลาดวานนี้ (23 ส.ค.) อยู่ที่ 39.25 บาท บวก 0.50 บาท หรือ 1.29% ด้วยมูลค่าซื้อขาย 511.11 ล้านบาท ทั้งนี้ส่งผลให้ยังคงมีอัพไซด์จากราคาเป้าหมายสูงสุดที่ 50 บาท อยู่ 27.38%
โดย นักวิเคราะห์ บล.โนมูระ พัฒนสิน ระบุในบทวิเคราะห์ ให้ราคาเป้าหมายที่ 50 บาทต่อหุ้น โดยคาดกำไรปกติปีนี้จะกลับมาเติบโต 15% จากการบริโภคและการท่องเที่ยวฟื้นตัว หนุนทุกธุรกิจที่กระจายความเสี่ยงที่ดี ทั้งโรงแรม, ร้านอาหารและ AVC โดยระยะสั้น งวดไตรมาส 3/60 คาดกำไรอยู่ในทิศทางที่ดี เพิ่มขึ้นทั้งนี้จากปีก่อนและไตรมาสก่อน นอกจากนี้การท่องเที่ยวยังเป็นภาพฟื้นตัวต่อเนื่อง โดยตัวเลขนักท่องเที่ยวล่าสุดเดือน ก.ค. สูงสุดในรอบ 17 เดือน
ส่วนราคาหุ้นที่พักฐานลงมาเกือบ 9% ในเดือนนี้ มองเป็นจุดเข้าลงทุนรอบใหม่ ตาม ERW ที่ outperform ก่อนหน้านี้ โดยซื้อขายที่ PER17F ระดับ 33 เท่า และยังเหมาะสมจากการเป็นผู้นำในกลุ่มที่มีรายได้กระจายตัวที่สุด
ส่วน นักวิเคราะห์ บล.เคทีบี (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ แนะนำ “ซื้อ” MINT ให้ราคาเป้าหมายที่ 45 บาทต่อหุ้น อิง DCF โดยคาดว่ากำไรในครึ่งหลังปี 60 จะเติบโตได้โดดเด่น โดยในไตรมาส 3/60 จะได้รับผลดีจากโรงแรมที่โปรตุเกสเข้าสู่ช่วง High Season และเพิ่งปรับปรุงเสร็จบางส่วนจะช่วยให้ RevPar เพิ่มขึ้นได้
อีกทั้งยังมีลุ้นมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวจากภาครัฐ ส่วนธุรกิจอาหารคาดว่าจะกลับมาเติบโตได้ในไตรมาส 4/60 จากการบริโภคที่ฟื้นตัว ขณะที่แผน 5 ปีหลังจากนี้จะใช้เงินลงทุนลดลง แต่สามารถรับรู้รายได้ในอัตราที่เพิ่มขึ้นได้จากผลดีของการลงทุนไปแล้วในช่วง 2 – 3 ปีก่อน
นอกจากนี้ยังมีมุมมองเชิงบวกต่อ MINT เนื่องจาก MINT มีศักยภาพในการเติบโตของกำไรสุทธิเฉลี่ยปีละ 10% ต่อปี ในอีก 5 ปี จากการเติบโตในธุรกิจโรงแรมทั้งในและต่างประเทศ และการขยายสาขาในธุรกิจอาหารที่มีแผนการเปิดอย่างชัดเจน
รวมทั้งการปรับปรุงโรงแรม Tivoli ที่โปรตุเกสจะเสร็จช่วงปลายปี ส่งผลให้ปีหน้า ARR และ RevPar ปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ นอกจากนี้การขยายการลงทุนในรูปแบบอื่น อย่างเช่น AVC ที่มองว่า มีโอกาสที่จะเติบโตได้เพิ่มอีกในอนาคต เนื่องจากการปรับแผนลดค่าธรรมเนียมแรกเข้าลดลงเพื่อกระตุ้นให้เกิดการเข้าบริการใช้ห้องพักมากขึ้น
รวมถึงยังมีลุ้นจากการขายอสังหาฯจากลายันภูเก็ตอีก 1 หลัง ส่วนธุรกิจอาหาร ซึ่งคาดว่า ช่วงไตรมาส 4/60 จะเห็นการบริโภคปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ ซึ่งส่งผลให้ SSSG กลับมาเป็นบวกได้
ทั้งนี้คาดว่า SSSG ในปีนี้จะอยู่ที่ 1% ขณะที่ความเสี่ยงเรื่อง Net Debt to Equity ที่สูงขึ้น จึงมองว่า MINT-W5 จะถูกใช้สิทธิ์ในวันที่ 3 พ.ย. 17 เนื่องจากราคาปัจจุบันยัง In-the-money ซึ่งจะทำให้ MINT ได้เงินเข้ามาราว 7 พันล้านบาท ซึ่งจะช่วยลดภาระดอกเบี้ยเงินกู้ได้
สำหรับแผน 5 ปี (2560-2564) ของ MINT ตั้งเป้าที่ใช้เงินลงทุนน้อยลง เนื่องจากเมื่อ 2 – 3 ปีที่แล้วมีการลงทุนไปเยอะมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โรงแรม Tivoli ในโปรตุเกส ซึ่งคาดว่าจะเริ่มรับรู้รายได้เต็มที่หลังจากปรับปรุงเสร็จในปี 31
ขณะที่ MINT ตั้งใจที่จะใช้แบรนด์ของตัวเองมากขึ้น และจะเน้นการเติบโตจากการเข้าไปรับจ้างบริหารโรงแรมมากขึ้น เนื่องจากใช้เงินลงทุนน้อยกว่าการเข้าซื้อโรงแรมและสร้างโรงแรมเอง นอกจากนี้ยังช่วยให้บริษัทลดการก่อหนี้และดอกเบี้ยจ่ายจะลดลงได้ในอนาคตอีกด้วย
ด้าน นักวิเคราะห์ บล.ฟินันเซีย ไซรัส ระบุในบทวิเคราะห์ แนะนำ “ซื้อ” MINT ให้ราคาเป้าหมาย 43 บาทต่อหุ้น โดยคาดว่ากำไรโตแข็งแกร่งต่อเนื่องใน 3 ไตรมาสข้างหน้า เพราะเป็น High Season ของทั้งโรงแรมในโปรตุเกสและในไทย ซึ่งกำลังได้แรงหนุนเพิ่มเติมจากมาตรการลดหย่อนภาษี และคาดกำไรปกติทั้งปีเติบโต 23% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน อยู่ที่ 5.6 พันลบ.
ทั้งนี้ราคาหุ้น Laggard กลุ่มท่องเที่ยว โดย -7% ใน 4 สัปดาห์ แย่กว่ากลุ่มที่ลงเพียง -2% ขณะที่ Basis ของ MINTU17 กว้างขึ้นมากสุดในรอบ 17 สัปดาห์ สะท้อนจิตวิทยาการลงทุนที่เริ่มเป็นบวกมากขึ้น
ขณะที่ นายชัยพัตน์ ไพฑูรย์ รองประธานกรรมการฝ่ายกลยุทธ์ MINT เปิดเผยว่า บริษัทคาดผลประกอบการช่วงครึ่งปีหลังจะดีกว่าครึ่งปีแรก ตามกำลังซื้อที่มีทิศทางฟื้นตัวขึ้น และการท่องเที่ยวที่ขยายตัวต่อเนื่อง และเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่นของทั้งธุรกิจอาหาร และธุรกิจโรงแรม ทั้งนี้บริษัทมั่นใจว่ากำไรสุทธิปีนี้จะเติบโตได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ 15-20% และยังเชื่อมั่นว่าแผนระยาว 5 ปี (59-63)จะเติบโตในทิศทางเดียวกัน
สำหรับสัดส่วนรายได้ในแผน 5 ปี(59-63) ตั้งเป้าปี 63 จะมีสัดส่วนรายได้ในประเทศและต่างประเทศ 48:52 จากปีนี้ที่มีสัดส่วนที่ 53:47 ซึ่งขณะนี้บริษัทฯ ได้ขยายการลงทุนในต่างประเทศมากขึ้นสูงถึง 32 ประเทศ
ทั้งนี้ ในปี 63 บริษัทวางเป้าหมายจะขยายโรงแรมมากกว่า 250 แห่ง จากไตรมาส 2/60 ที่มี 155 แห่ง และ ธุรกิจร้านอาหารจะขยายให้มากกว่า 3,400 สาขา จากไตรมาส 2/60 ที่มี 2,037 สาขา ซึ่งคิดเป็นการเติบโตที่ 8-10% ต่อปี และ ธุรกิจจัดจำหน่ายจะเพิ่มร้านค้าใหม่มากกว่า 500 แห่ง จากไตรมาส 2/60 ที่มี 339 แห่ง
ขณะที่ บริษัทวางงบลงทุนใน 5 ปี ไว้ราว 4 หมื่นล้านบาท โดยเน้นใช้ในการขยายธุรกิจที่มีอยู่ในปัจจุบัน 3 หมื่นล้านบาท ส่วนอีก 1 หมื่นล้านบาทจะตั้งไว้เป็นงบสำหรับซื้อกิจการ อย่างไรก็ตาม บริษัทยังมีกระแสเงินสดที่รองรับ หากต้องการลงเพิ่มไม่ว่าจะเป็นการกู้ยืมจากสถาบันการเงิน เนื่องจากในปัจจุบันอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) อยู่ที่ 1.3 เท่า ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับต่ำ
อย่างไรก็ตาม บริษัทจะทบทวนแผนธุรกิจ 5 ปีใหม่อีกครั้งในสิ้นเดือนธ.ค.นี้ ซึ่งถือว่าการทบทวนตามปกติ เพื่อให้มีความเหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน