พาราสาวะถี

ไม่ใช่เรื่องซับซ้อนอะไรกับการหนีของ  ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เพียงแต่ว่าเป็นเรื่องที่คนจำนวนไม่น้อยไม่ได้คิดว่ามันจะเกิดขึ้นได้ในยุคของรัฐบาลรัฐประหาร เพราะตลอดระยะเวลากว่า 3 ปีที่ผ่านมา อย่างที่รับรู้กันอดีตนายกรัฐมนตรีหญิงถูกตามติดทุกฝีก้าว ขนาดจะเข้าห้องน้ำยังตามประกอบติด พอบทจะหนีก็ทำได้ง่ายดายเหมือนใช้วิชาล่องหนยังไงยังงั้น


อรชุน

ไม่ใช่เรื่องซับซ้อนอะไรกับการหนีของ  ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เพียงแต่ว่าเป็นเรื่องที่คนจำนวนไม่น้อยไม่ได้คิดว่ามันจะเกิดขึ้นได้ในยุคของรัฐบาลรัฐประหาร เพราะตลอดระยะเวลากว่า 3 ปีที่ผ่านมา อย่างที่รับรู้กันอดีตนายกรัฐมนตรีหญิงถูกตามติดทุกฝีก้าว ขนาดจะเข้าห้องน้ำยังตามประกอบติด พอบทจะหนีก็ทำได้ง่ายดายเหมือนใช้วิชาล่องหนยังไงยังงั้น

เป็นธรรมดาที่จะเกิดคำถามตัวโตต่อผู้ดูแลงานด้านความมั่นคง ปล่อยให้เกิดเหตุการณ์นี้ได้อย่างไร และไม่แปลกที่ ศรีสุวรรณ จรรยา จะไปยื่นร้องต่อป.ป.ช.ให้สอบ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ในฐานะรองนายกฯด้านความมั่นคง  และ พลตำรวจเอกจักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติที่ปล่อยให้ยิ่งลักษณ์หนีไปแบบลอยนวล

ความจริงกรณีนี้แม้แต่เด็กอมมือก็อ่านเกมออก ฟังบทให้สัมภาษณ์ของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่มีทั้งยกย่องและกระแนะกระแหนอดีนายกฯหญิงพร้อมพรรคเพื่อไทย แม้ท่วงทำนองจะเป็นไปด้วยความดุดัน แต่แฝงไปด้วยความผ่อนคลาย เท่านี้ก็น่าจะรู้แล้วว่าอะไรเป็นอะไร หากจะต้องติดตามเพื่อหาคนรับผิดชอบว่าใครปล่อยหรือช่วยให้ยิ่งลักษณ์หนี บางทีอาจต้องมีผู้เสียสละที่รับบท”แพะ”

อ่านง่ายขนาดไหนก็ขนาด ไพบูลย์ นิติตะวัน คนที่เกลียดระบอบทักษิณเข้าไส้ ยังมองว่า เป็นเรื่องวิน-วินทุกฝ่าย ยิ่งลักษณ์หนีไปไม่ติดคุก รัฐบาลไม่ต้องเผชิญภาวะกดดัน สังคมสงบสุข โดยที่ยังคงปกป้องฝ่ายรัฐว่าทำหน้าที่ดีแล้ว ไมได้หลับตาปล่อยให้หนี โดยอ้างว่าจำเลยยังไม่ถูกศาลตัดสิน นี่แหละความเป็นคนดี พูดอะไรแม้ว่าจะฟังแล้วไม่สมเหตุสมผลเท่าไหร่ ก็ไม่มีใครติดใจหรือถูกวิพากษ์วิจารณ์ในเชิงลบ

ส่วนที่จบแบบจอดสนิทก็คดีที่ตัดสินในวันเดียวกับยิ่งลักษณ์ บุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ภูมิ สาระผล อดีตรัฐมนตรีช่วยพาณิชย์  มนัส สร้อยพลอย อดีตอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ พร้อมพวกต่างโดนคดีโกงจีทูจี ด้วยโทษจำคุกคือ 40 ปี 36 ปี 48 ปี และลดหลั่นกันไป ถือเป็นผลแห่งการกระทำในอดีต ส่วนที่จะยื่นอุทธรณ์ ประกันตัวหรืออย่างไรนั้นเป็นสิ่งที่ต้องว่ากันไปตามกระบวนการ

ในมุมของผู้มีอำนาจคิดว่านี่คือการจบแบบมีแต่ได้กับได้ ก็อย่าลืมมองไปยังคนที่ได้ชื่อว่าพวกเดียวกันประเภทชอบเหยียบย่ำทับถม ทั้งตั้งคำถามว่าไม่ผิดแล้วหนีทำไม ทั้งการทำโพลถามประชาชนคิดอย่างไรที่ยิ่งลักษณ์ไม่มาศาล ทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้สั้นๆและง่ายๆเป็นประโยชน์ต่อการสร้างความปรองดองของคณะรัฐประหารหรือไม่

เอาแค่การเคลื่อนไหวของ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ที่ตั้งคำถาม ช่วงนี้ใครๆก็ทำโพล กรุงเทพโพลบอกว่า ประชาชนส่วนใหญ่เชื่อว่าศาลจะตัดสินยิ่งลักษณ์ว่ามีความผิด ทั้งๆที่สำนักโพลน่าจะผิดละเมิดอำนาจศาล อภิสิทธิ์ก็ทำโพลถามความเห็นประชาชน คงเป็นสิทธิ์ที่ทำได้ แต่ไม่ทราบจะทำไปทำไม ซึ่งถ้าไปถามผู้มีอำนาจก็คงไร้คำตอบเช่นเคย

ด้วยเหตุนี้เสี่ยเต้นจึงบอกต่อว่า ขอเกาะกระแสทำโพลกับเขาบ้าง ยุคนี้เป็นรัฐบาลทหาร หลายฝ่ายเชื่อว่านายกฯคนต่อไปก็น่าจะเป็นทหาร แต่นักการเมืองบางคนหวังว่าจะมีโอกาสเป็นนายกฯด้วยเหมือนกัน จึงขอถามประชาชนว่า มีความคิดเห็นอย่างไร ถ้านายกฯคนต่อไปเป็นชายไทยที่หนีทหาร พร้อมกับเปิดให้คนตอบผ่านเพจเฟซบุ๊กของณัฐวุฒิเอง

แค่ตัวอย่างเท่านี้ก็ทำให้เห็นภาพของความขัดแย้งที่เกิดขึ้นแล้ว  ดังนั้น หากผู้มีอำนาจเห็นว่าเสี้ยนหนามสำคัญอย่างยิ่งลักษณ์ไม่อยู่ และดูท่าว่า ทักษิณ ชินวัตร ก็คงไม่เข้ามาข้องแวะใดๆกับการเมืองไทยในช่วงเวลานี้ จะหันกลับมาเอาจริงเอาจังกับการบังคับใช้กฎหมายที่เท่าเทียมกันหรือไม่ ตราบใดที่ยังมีคำถามเรื่องสองมาตรฐาน เมื่อนั้นรัฐบาลที่แม้จะมีอำนาจเด็ดขาดอย่างไรก็ไร้ความชอบธรรมต่อไป

ถ้าบอกว่าจะต้องแคร์อะไร เพราะทุกอย่างอยู่ในกำมือ คงกระแซะต่อว่าจะปกครองประเทศด้วยอำนาจเผด็จการเช่นนี้ยาวไปอีกเท่าไหร่ เอาแค่ถ้าในปีหน้าถ้ายังไร้การเลือกตั้ง คงไม่ต้องคอยตอบคำถามของคนในประเทศแล้ว เนื่องจากเหล่าบรรดาประเทศประชาธิปไตยทั้งหลาย คงจะเพิ่มแรงกดดันตามมา ถึงเวลานั้น ไม่อยากจะนึกภาพว่าบรรยากาศเศรษฐกิจของบ้านเมืองจะเป็นอย่างไร

หากพอใจกับสิ่งที่เป็นอยู่คือ คนยึดอำนาจและคณะได้บริหารประเทศต่อ แล้วก็ส่งบริวารลิ่วล้อไปนั่งเป็นประธานบอร์ดในรัฐวิสาหกิจต่างๆ ก็เชิญเอาที่สบายใจ แต่ขอเตือนไว้อย่างการใช้อำนาจบาตรใหญ่ตามอำเภอใจ สุดท้ายหากสิ่งที่ถูกกดทับ รับแรงกระแทกกระทั้นต่อไปไม่ไหว ระวังมันจะระเบิดขึ้นมา ชนิดที่ว่าต่อให้มีกำลังและอาวุธขนาดไหนก็ยากที่จะเอาอยู่

ด้วยความที่มีนายทหารใหญ่เข้าไปนั่งในบอร์ดรัฐวิสาหกิจหลายแห่ง คนทั่วไปก็คิดเอาว่าน่าจะทำให้องค์กรนั้นมีความเด็ดขาดและเข้มแข็งขึ้น แต่ปรากฏว่าไม่ใช่ที่การทางพิเศษแห่งประเทศไทย เพราะเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่ามา พลเอกวิวรรธน์ สุชาติ ประธานบอร์ดกทพ.นัดนักข่าวอ้างว่าจะไปแถลงเรื่องการดำเนินโครงการระบบทางด่วนขั้นที่ 2 (ทางพิเศษศรีรัช รวมถึง ส่วนดี) ภายหลังจากสัญญาร่วมลงทุนกับบริษัททางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพจำกัด (มหาชน) หรือ บีอีเอ็ม จะสิ้นสุดในปี 2563

แต่ปรากฏว่าแทนที่จะแถลงข่าวจะจัดการอย่างไรกับอนาคตในเรื่องดังว่า ประธานชายชาติทหารกลับปล่อยให้มีสหภาพแรงงานกทพ.เข้ามาร่วมและรุมด่านักข่าว ด้วยเหตุไม่พอใจหาว่าเขียนข่าวไม่เคลียร์พร้อมขู่ให้มีการแก้ข่าวให้ ทำเอานักข่าวหลายรายเข้าใจว่าที่นั่นเป็นสำนักงานคสช.ซึ่งเรียกไปปรับทัศนคติ เพราะปล่อยให้มีการแสดงความกร่างกันอย่างเต็มที่

น่าเสียดายที่คนเป็นถึงนายพลใหญ่ไปนั่งกุมบังเหียนแล้วยังปล่อยให้สหภาพมากดหัวได้ ไม่คิดว่าอีแค่พนักงานที่รวมหัวกันเพื่อต่อรองผลประโยชน์ของตัวเองและไม่ได้ก่อมรรคผลใดๆต่อส่วนรวม ทำไมต้องเกรงใจกันถึงขนาดนั้น วิธีการที่ใช้คือมาขอโทษหลังนักข่าววอล์กเอาท์ เหมือนการตบหัวแล้วลูบหลัง มันถือว่าไม่แฟร์และไม่แมน หากยังเป็นพวกกบในกะลาครอบที่บอกจะบริหารงานอะไรเองก็อย่าไปคิด ท้ายที่สุดก็หนีไม่พ้นต้องอาศัยใบบุญกินค่าสัมปทานจากเอกชนอยู่ดี

Back to top button