ผ่าทางตัน??!!
เมื่อวานนี้ ตลาดหุ้นไทยบวกแรงสวนตลาดหุ้นทั่วโลกประหนึ่งแปลงสภาพเป็น “โอเอซิส” กลางทะเลทราย ด้วยมูลค่าซื้อขายรวมมากสุดในปีนี้ 9.56 หมื่นล้านบาท โดยมี ต่างชาติ กองทุนในประเทศ และพอร์ตโบรกเกอร์ พากันซื้อสุทธิ ดันดัชนี SET บวกไปมากถึงเกือบ 30 จุด
พลวัตปี 2017 : วิษณุ โชลิตกุล
เมื่อวานนี้ ตลาดหุ้นไทยบวกแรงสวนตลาดหุ้นทั่วโลกประหนึ่งแปลงสภาพเป็น “โอเอซิส” กลางทะเลทราย ด้วยมูลค่าซื้อขายรวมมากสุดในปีนี้ 9.56 หมื่นล้านบาท โดยมี ต่างชาติ กองทุนในประเทศ และพอร์ตโบรกเกอร์ พากันซื้อสุทธิ ดันดัชนี SET บวกไปมากถึงเกือบ 30 จุด
การบวกแรงชนิด “โด่เด่” อย่างนี้ แม้จะมีคำอธิบายอย่างไหน ก็ถือว่า สวนกระแสพอสมควร เพราะทั่วโลกกำลังหวาดผวาการยิงขีปนาวุธของเกาหลีเหนือที่ข้ามไปตกในทะเลญี่ปุ่นแถวเกาะฮอกไกโด
หากมองตามสัญญาณเทคนิคอย่างเดียวนี้คือการทะลวงแนวต้านสำคัญทางจิตวิทยา 1,600 จุด ขึ้นไปได้สำเร็จ ที่สอดรับกับนิยามของภาวการณ์ซื้อขาย ที่เรียกว่า breaking out หรือ breakouts หลังจากที่รอคอยกันมานานนับหลายเดือนด้วยความอึดอัด เพื่อมุ่งไปสู่เป้าหมายสำคัญที่แนวต้านถัดไปคือ 1,650 จุด
สัญญาณเทคนิคก็ดูดีไปหมดทั้ง macd, rsi, stoch, bollinger band, candlestick สวยทั้งรายวันและรายสัปดาห์
ดัชนีที่ทำทำจุดสูงสุดในรอบ 30 เดือน มีคำอธิบายจาก “ขาเขียร์” เป็นคุ้งเป็นแควว่า เป็นผลจากเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มดีขึ้น จากตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ในไตรมาส 2/60 ที่เติบโต 3.7% ดีกว่าคาด และตลาดคาดหวังว่าเศรษฐกิจครึ่งปีหลังจะดีขึ้นต่อเนื่อง ขณะที่กำไรของบริษัทจดทะเบียนในครึ่งแรกของปีนี้ ก็ไม่ได้มีปัญหาระดับเลวร้ายแต่อย่างใด ประกอบกับตั้งแต่ต้นปีนี้หุ้นไทยยังปรับขึ้นน้อยกว่าตลาดหุ้นอื่น ทำให้นักลงทุนต่างชาติกลับเข้ามาลงทุน หลังจากเห็นสัญญาณบวก โดยที่การจัดงาน Thailand Focus 2017 วานนี้ ก็สามารถช่วย Sentiment ของตลาดให้มีทิศทางที่ดีขึ้น
คำอธิบายดังกล่าว ไม่ได้ให้เจาะลึกลงไปว่าเหตุใดหุ้นขนาดกลางและเล็กจำนวนมากในตลาด จึงมีราคาแน่นิ่งหรือบางรายติดลบด้วยซ้ำ
เช่นเดียวกัน ดัชนีล่วงหน้า SET50 Futures ก็ปิดท้ายตลาดด้วยแรงเหวี่ยงขาขึ้นชัด ที่จุดสูงสุดในรอบหลายเดือนเหนือ 1,030 จุด แต่กลับปรากฏตัวเลขการซื้อขายรายกลุ่มที่ได้เห็นเพทุบายลับ-ลวง-พราง ของเกมในตลาดหุ้นที่นักลงทุนจำนวนมากมักจะรู้ไม่เท่าทัน นั่นคือ ต่างชาติปิดสถานะทำกำไรมากถึง 5.5 หมื่นกว่าสัญญา ตามด้วยกองทุนที่ทำตามกันไปด้วย อีก 2.0 หมื่นสัญญา
หากมองจากการเปิดสัญญาล่วงหน้าย้อนหลังจะพบว่าในช่วง 3 วันทำการที่ผ่านมา ต่างชาติทำการเปิดสถานะซื้อสัญญาล่วงหน้าต่อเนื่องผิดสังเกตมากกว่า 4.5 หมื่นสัญญา การระบายของออกทำกำไรวานนี้ทีเดียว จึงเป็นการทำกำไรด้วยการดันราคาหุ้นขนาดใหญ่ที่มีผลดันดัชนีเป็นหลักอย่างมีนัยสำคัญ ทำกำไรแบบ 2 เด้ง (ไม่นับการทำกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนจากการที่วานนี้ ค่าบาทแข็งสุดในรอบเกือบ 2 ปีเช่นกัน)
ภาวะ breakouts (หากเกิดขึ้นจริง ไม่ใช่ดำพราง) เป็นจังหวะที่ทำให้ตลาดเป็นขาขึ้นอย่างฉับพลันยาวนานก็ย่อมได้ หรืออาจจะหมายถึงเพียงแค่ การถอนหายใจชั่วคราวของตลาดขาลงตามปกติ ก็ได้เช่นกัน โดยมีปัจจัยอื่นประกอบ
โดยทั่วไปแล้ว ในยามที่ตลาดพักฐานหรือปรับฐานลง ดัชนีหรือราคาหุ้นจะดูดซับข่าวร้ายมากขึ้นจนถึงระดับหนึ่ง จนกระทั่งแรงขายแทบหมดหน้าตักเข้าเขตขายมากเกิน แรงซื้อจะกลับมาโดยอัตโนมัติไม่เกี่ยวข้องกับพื้นฐานปัจจัยของตลาดหรือคุณภาพของสินค้าหรือหลักทรัพย์แต่อย่างใด
ในทางกลับกัน หากเป็นตลาดขาขึ้น แรงซื้อที่มากเกินจากภาวะ breaking out สัญญาณทางเทคนิค จะเข้าสู่เขตซื้อมากเกินเร็วกว่าปกติเสมอ ซึ่งนักลงทุนที่ชาญฉลาดจะต้องตัดสินใจขายเมื่อมีกำไรโดยไม่ต้องสนใจราคาสูงสุดคือ margin of safety ที่ดีสุดตามสูตรของเบนจามิน แกรห์ม แต่ก็จะมีนักลงทุนจำนวนหนึ่งที่หลงระเริงจะกลายเป็นแมงเม่าปีกหักง่ายดายมาก กว่าจะรู้ตัวเงินหน้าตักก็ไม่เพียงพอให้แก้ตัวใหม่ เว้นแต่จะตัดขาดทุนขายที่ติดเอาไว้บางส่วน
คำถามสำคัญที่ใครๆ ก็อยากจะรู้ก็คือว่า ภาวะดังกล่าวนี้จะดำรงอยู่นานแค่ไหน
ในหลายเดือนมานี้ ตลาดหุ้นไทยได้ผ่านช่วงเวลาทดสอบความอึดทางจิตวิทยาของนักลงทุนในช่วงเวลาของการเคลื่อนตัวแบบไซด์เวย์ยาวนาน ทำให้ตลาดหุ้นไทยมีดัชนีที่แกว่งตัวขึ้นช้าว่าตลาดอื่นๆมาก เพราะตลอดปีนี้บวกไปเพียงแค่ 2% เท่านั้น จึงมีความเป็นไปไดที่สามารถจะเกิดปรากฏการณ์ breaking out ได้ แต่อีกมุมหนึ่ง บรรดานักลงทุนทุกคนต้องทำความเข้าใจและรู้ให้เท่าทัน ก่อนที่จะเจอกับเรื่องลับ-ลวง-พรางให้หลงทางได้
ก่อนหน้าวานนี้ นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ของบริษัทหลักทรัพย์ ระบุว่า กระแสเงินทุนหรือฟันด์โฟลว์ต่าชาติ จะยังไม่ไหลเข้ามาในตลาดหุ้นมากนัก จากแนวโน้มผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนเติบโตน้อยกว่าประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค รวมถึงราคาหุ้นในตลาดหุ้นไทยก็สูงกว่าภูมิภาค แถมยังมีความเสี่ยงที่จะเกิดหนี้เสีย และต้นทุนทางการเงินที่เพิ่มขึ้นของบริษัทจดทะเบียนส่วนใหญ่ ทำให้ต้องลุ้นว่าบริษัทจดทะเบียนจะทำผลประกอบการให้เติบโตทันกับผลกระทบต่อผู้ถือหุ้น (Dilution Effect) ที่จะเกิดขึ้นหรือไม่
แม้ว่ามุมมองของนักวิเคราะห์ขาเชียร์ หลังจากดัชนีSET พุ่งแรงวานนี้ จะทำลายความเชื่อและมุมมองเดิมๆที่ว่า ภาวะ breakouts อาจจะเป็นปรากฏการณ์ “ผีพุ่งไต้” แต่พฤติกรรมของต่างชาติและกองทุน รวมทั้งบรรยากาศการลงทุนในระดับโกลที่เพิ่มความเครียดจากเหตุการณ์ในคาบสมุทรเกาหลี ย่อมสามารถลดทอนมุมมองทางบวกได้ไม่น้อย
ดัชนีSETวานนี้ ทะลวงไปปิดที่ 1,614.14 จุด เข้าใกล้แนวต้านอันเป็นจุดยอดสำคัญเมื่อกลางเดือนกุมภาพันธ์ 2558 ที่ 1,619 จุด แล้วร่วงลงแรงยาวนานตลอดทั้งปีนั้น ก็ชวนให้ตั้งคำถามเช่นกันว่า วันนี้ดัชนีจะทำนิวไฮในรอบ 23 ปีได้หรือไม่
ถ้าได้ ก็เป็น “หลักหมุดใหม่” ที่มีความหมาย
ถ้าไม่ได้ ก็เป็นแค่ breakouts จอมปลอม