TOP ผลงาน Q3 โตแจ่ม! ชี้ปีนี้ไม่ขาดทุนสต็อกน้ำมัน-GRM พุ่งหนุน

TOP คาดกำไรปีนี้โตดีกว่าปีก่อนรับค่า GRM สูง – ออก TOR เปิดประมูลรับเหมาโครงการเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ คาดก่อสร้างแล้วเสร็จในปี 65


นายอธิคม เติบศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP เปิดเผยว่า บริษัทมั่นใจว่ากำไรจากการดำเนินงานในปีนี้จะมากกว่าปีที่แล้วจากกำไรขั้นต้นจากการผลิตของกลุ่ม (GIM) ที่ไม่รวมผลกระทบจากสต็อกน้ำมันในปีนี้จะสูงขึ้นจากปีที่แล้ว หลังทิศทางค่าการกลั่น (GRM) อยู่ในเกณฑ์ที่สูง และยังรับรู้ผลการดำเนินงานเต็มปีของโรงไฟฟ้าใหม่ 2 แห่ง ขนาดรวม 240 เมกะวัตต์ (MW) และโครงการผลิตสาร Linear Alkyl Benzene  (LAB) ได้เต็มปีอีกด้วย

ขณะที่คาดว่าปีนี้จะไม่มีผลกระทบจากสต็อกน้ำมัน หลังจากที่คาดว่าราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยปีนี้จะใกล้เคียงกับปีที่แล้วที่ราว 50 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ส่วนผลการดำเนินงานในไตรมาส 3/60 นับว่าอยู่ในระดับที่น่าพอใจ จากค่า GRM ที่อยู่ในระดับที่แข็งแกร่ง โดยล่าสุดเฉลี่ยอยู่ที่ราว 8-9 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล สูงกว่าระดับ  6-7 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ในไตรมาส 2/60  หนุนให้ GIM เฉลี่ยในไตรมาส 3 อยู่ในระดับที่เป็นตัวเลขมากกว่า 2 หลัก

“ณ วันนี้ผลประกอบการไตรมาส 3 ยังน่าพอใจดีกว่าแผนที่ตั้งเอาไว้  ส่วนทั้งปีนี้ operating profit จะดีแม้ไม่มี stock gain เพราะคาดว่าน้ำมันดิบน่าจะปิด 50 นิด ๆ ก็เสมอตัวไม่มี stock loss ทำให้ operating profit ปีนี้น่าจะทำได้ดีกว่าปีก่อน ที่ปีที่แล้วเรามีกำไรสุทธิ 2.12 หมื่นล้านบาทในส่วนนี้รวม stock gain ประมาณ 6 พันล้านบาท ปีที่แล้วนับเป็นกำไรระดับสูงสุดรอบ 10 ปี”นายอธิคม กล่าว

นายอธิคม กล่าวอีกว่า ค่าการกลั่นปัจจุบันถือว่าอยู่ในระดับที่ดีมาก โดยล่าสุดยืนอยู่ในระดับมากกว่า 9 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล เป็นผลจากเรื่องพายุเฮอริเคนฮาร์วีย์ ทำให้โรงกลั่นน้ำมันหลายแห่งปิดชั่วคราว อย่างไรก็ตามแม้ขณะนี้จะเริ่มมีโรงกลั่นน้ำมันกลับมาดำเนินการบ้างแล้ว แต่ค่าการกลั่นก็นับว่ายังอยู่ในเกณฑ์ที่สูง

สำหรับในปีนี้คาดว่าอัตราการใช้กำลังการกลั่นจะอยู่ในระดับราว 112% ของกำลังการผลิตเต็มที่ 2.75 แสนบาร์เรล/วัน โดยส่วนใหญ่ประมาณ 89% เป็นการจำหน่ายน้ำมันภายในประเทศ ส่วนที่เหลือส่งไปยังประเทศในกลุ่ม CLMV

ส่วนความคืบหน้าของการดำเนินโครงการเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ (Clean fuel Project:CFP) มูลค่าราว 3-4 พันล้านเหรียญสหรัฐนั้น ล่าสุดบริษัทได้ออกประกาศเชิญชวนประมูล (TOR) ไปแล้วเมื่อเดือน ก.ค. และอยู่ระหว่างรอผู้รับเหมาเสนอเอกสารทางเทคนิคมาในช่วงปลายเดือน ธ.ค. และเสนอราคาเข้ามาในราวเดือน มี.ค.61 ทำให้คาดว่าจะสามารถตัดสินใจลงทุนขั้นท้าย (FID) ในปลายไตรมาส 2/61 และคาดว่าโครงการจะเริ่มก่อสร้างในปีเดียวกันแล้วเสร็จในปี 65

ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวจะทำให้มีกำลังการกลั่นน้ำมันเพิ่มเป็น 4 แสนบาร์เรล/วัน จากระดับ 2.75 แสนบาร์เรล/วัน และสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มของผลิตภัณฑ์น้ำมัน โดยจะไม่มีน้ำมันเตาซึ่งมีราคาต่ำ ออกมาจากระบบการกลั่น จากปัจจุบันที่มีอยู่ 8-9% โดยจะเปลี่ยนจากน้ำมันเตา เป็นน้ำมันเครื่องบินและน้ำมันดีเซล ตลอดจนโครงการดังกล่าวยังจะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นการใช้น้ำมันดิบจากแหล่งอื่นที่มีราคาต่ำ เช่น อเมริกาใต้ จากปัจจุบันที่ส่วนใหญ่ใช้น้ำมันดิบจากตะวันออกกลางราว 70-80% ซึ่งจะทำให้มีต้นทุนต่ำลง

นายอธิคม กล่าวว่า สำหรับเม็ดเงินลงทุนในโครงการ CFP จะมาจากกระแสเงินสดที่ปัจจุบันมีอยู่ราว 1.7 พันล้านเหรียญสหรัฐ และมีกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน ก่อนดอกเบี้ยจ่าย ค่าเสื่อมต่าง ๆ ราว 300-400 ล้านเหรียญสหรัฐ/ปี รวมถึงยังมีศักยภาพในการกู้เพิ่มเติม เนื่องจากมีสัดส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) ต่ำ ราว 0.1-0.2 เท่า ขณะที่ปัจจุบันได้รับอนุมัติให้ออกหุ้นกู้ในวงเงิน 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ก็เตรียมไว้สำหรับรองรับการลงทุนในโครงการดังกล่าวได้

Back to top button