สัปดาห์ระทึกขวัญ พลวัต2015

ดัชนี SET หลุดแนวรับจิตวิทยาสำคัญ 1,500 จุดไปเมื่อปิดตลาดวันพฤหัสบดีที่ 7 พฤษภาคม แต่วันศุกร์ ตลาดรีบาวด์กลับไปยืนเหนือ 1,510 จุดด้วยมูลค่าซื้อขายบางเบา 3.8 หมื่นล้านบาท


ดัชนี SET หลุดแนวรับจิตวิทยาสำคัญ 1,500 จุดไปเมื่อปิดตลาดวันพฤหัสบดีที่ 7 พฤษภาคม แต่วันศุกร์ ตลาดรีบาวด์กลับไปยืนเหนือ 1,510 จุดด้วยมูลค่าซื้อขายบางเบา 3.8 หมื่นล้านบาท

นักวิเคราะห์หลายสำนักระบุอย่างแทงกั๊กว่าสัปดาห์นี้ หุ้นจะเคลื่อนไหวแบบไซด์เวย์โดยมีหุ้นธนาคารรองรับแรงขาย เพราะกองทุนเข้ามาช้อนซื้อหลังร่วงมาแรง คำถามที่นักลงทุนตีความไม่ออกคือว่า มันไซด์เวย์ขึ้น หรือไซด์เวย์ลง

ความคลุมเครือ และความไม่แน่นอน เป็นอันตรายต่อการตัดสินใจลงทุนอย่างมากเพราะหากตัดสินใจผิดอาจมีค่าเท่ากับกลัดกระดุมเม็ดแรกผิด เม็ดต่อๆไปจะบานปลายเสียหายมากขึ้นได้ง่ายๆ

มองจากสัญญาณเทคนิคล้วนๆ ดัชนีปรับตัวรอบล่าสุดนี้ ลงมาจากระดับ 1,560 จุด หลังจากที่มีความพยายามฝ่าแนวต้านขึ้นไปที่ระดับเหนือ 1,570 จุดแล้วผ่านไม่ได้ และการปรับรอบนี้ มาถึงระดับแนวรับเดิมเมื่อปลายเดือนมีนาคมพอดีที่รอบๆ 1,500 จุด แล้วรีบาวด์กลับ ซึ่งสามารถมองได้สองทางคือ หากรีบาวด์กลับแรง จะไปที่แนวต้านแรก 1,530 จุด จากนั้นขึ้นกับภาวะตลาด

ในมุมกลับการรีบาวด์เมื่อวันศุกร์ ด้วยมูลค่าซื้อขายต่ำ แถมหุ้นที่ดันตลาดเป็นหลักก็มีแค่หุ้นกลุ่มธนาคาร ซึ่งโดยพื้นฐานปีนี้ขี้เหร่มากกว่าหุ้นกลุ่มอื่นๆเสียด้วย ดังนั้น เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นวันศุกร์ที่ผ่านมา อาจจะเป็น “แมวตายเด้ง”  (dead catrebounce) เพื่อที่จะลงต่อ ซึ่งหากเป็นเช่นว่า หมายถึงดัชนีจะต้องลงไปที่แนวรับ 1,480 จุด หรืออาจจะเลวร้ายไปที่ 1,450 จุดได้

ความเป็นไปได้ สองทาง คือ รีบาวด์กลับขึ้นไปหาแนวต้าน 1,530 จุด หรือ ลงต่อไปหาแนวรับ 1,480 จุด ขึ้นกับเงื่อนไขสำคัญอะไรบ้าง ต้องพิจารณากันให้รอบคอบ ไม่ใช่เชื่อแต่นักวิเคราะห์เป็นสรณะ

คำตอบแรกสุดคือผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนไตรมาสแรกที่จะประกาศครบหมดในปลายสัปดาห์นี้ ถ้าหากส่วนใหญ่ มีกำไร หรือกำไรต่อหุ้นเพิ่ม จะทำให้ค่าพี/อี ของตลาดที่ขณะนี้อยู่ที่ระดับ 22 เท่า ลดลงไปได้ ส่งผลให้ดัชนีไปต่อได้ หากเป็นกลับกัน ดัชนีจะต้องร่วงต่อเพื่อให้พี/อี ลดลงไป จนสมเหตุสมผล

หากดูภาพรวม ดูเหมือนว่า ปีนี้ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนต่ำกว่าคาด หรือตามคาด มีน้อยรายที่ดีกว่าคาด

ดังนั้นหากมองภาพรวมจากปัจจัยผลประกอบการ โอกาสที่พี/อีในอนาคตจะเพิ่มขึ้นและราคาหุ้นจะร่วง เป็นไปได้มากกว่าจะขึ้นต่อ

ยกเว้นหุ้นบางรายการที่มีค่าเบต้าเบี่ยงเบนจนไม่ขึ้นกับดัชนีตลาดเพราะมีปัจจัยพิเศษ

ปัจจัยต่อไปคือ แรงซื้อของต่างชาติซึ่งสังเกตได้จากค่าบาท เมื่อใดค่าบาทแข็งต่างชาติจะกลับเข้ามาหากำไรหลายด้านพร้อมกันทั้งอัตราแลกเปลี่ยน หุ้น และหุ้นกู้

แต่การที่รัฐไทยโดยเฉพาะแบงก์ชาติยามนี้มีนโยบายทำให้ค่าบาทอ่อนอย่างมีเจตนา จากการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 2 ครั้งห่างกันไม่นาน หลังจากที่เศรษฐกิจไทยเสียศูนย์ เพราะการส่งออกที่เป็นแรงขับเคลื่อนหลักมีปัญหามาตั้งแต่ไตรมาสแรกปีนี้จะรุนแรงอีกนานหลายเดือน และกำลังซื้อในประเทศที่อ่อนแอเพราะนโยบายห้ามปล่อยน้ำทำการเกษตรของรัฐบาลไทยชุดปัจจุบัน ทำให้เศรษฐกิจไทยไตรมาสแรกที่ผ่านมาอ่อนแอ (แม้ภาครัฐใช้จ่ายมากขึ้นเล็กน้อย)

ส่งผลให้เงินเฟ้อทั่วไปติดลบและเงินเฟ้อพื้นฐานชะลอตัวลง แถมเม็ดเงินทุนในภาคการผลิตทั้งจากต่างประเทศและในประเทศที่ถดถอยลง ทำให้ต่างชาติเทขายหุ้นในตลาดไทยต่อเนื่อง

เงินบาทอ่อน (รวมทั้งมาตรการอนุญาตเปิดทางให้เงินไหลออกสะดวกขึ้น) ทำให้ต่างชาติถอนตัวจากตลาดหุ้นไทยเสมอมา ครั้งนี้ก็ไม่มีข้อยกเว้น ยิ่งคนในรัฐบาลบอกว่า บาทยังอ่อนไม่เพียงพอต้องอ่อนลงไปอีก การกลับมาของต่างชาติไม่ควรจะเกิดขึ้นทำให้ดัชนีพลิกกลับเป็นขาขึ้นแรงๆ ได้ ไม่เหมือนตอนปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมา

ปัจจัยอีกตัวคือ แรงซื้อของกองทุน แม้สามวันมานี้จะเห็นกองทุนซื้อสุทธิแรงมาก แต่หากเจาะลึกในรายละเอียดจะพบว่า เลือกซื้อหุ้นบางกลุ่มเท่านั้น ไม่ได้ซื้อทั่วไป ดังนั้นจึงได้แต่ประคองตลาดเอาไว้ไม่ให้ร่วงแรงไม่ใช่พลิกกลับเป็นขาขึ้นได้

ที่สำคัญบลจ.หลายแห่งเริ่มมีมุมมองว่า ตั้งกองทุนทริกเกอร์เพื่อไปลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศโดยเฉพาะตลาดญี่ปุ่น เซี่ยงไฮ้ และฮ่องกงที่ร้อนแรงมากในปีนี้ มีโอกาสทำกำไรง่ายกว่าในตลาดหุ้นไทยหลายเท่า การเข้าซื้อของกองทุนในตลาดหุ้นไทย จึงไม่สามารถพึ่งพาได้มากมายนัก เพราะบางครั้ง บางวัน เราได้เห็นกองทุนทิ้งถล่มหุ้นก็เกิดขึ้นบ่อยมากในหลายเดือนนี้

สุดท้าย การเข้ามาซื้อขายของรายย่อย ซึ่ง 2 ปีที่ผ่านมาเกิดขึ้นอย่างคึกคัก ทั้งบัญชีซื้อขาย และรายย่อย ดันตลาดให้เป็นขาขึ้นน่าสนใจมาตลอด แต่ปีนี้นับแต่เดือนมีนาคมเป็นต้นมา รายย่อยจำนวนมากผิดหวัง หากไม่ติดหุ้นก็ขาดทุนกันมากมาย ที่เหลือหันมาปรับกลยุทธ์ “เล่นสั้น ขยันซอย”  ที่ทำให้ ตัวเลขซื้อขายประจำวันโรยราลง เพราะเหตุนี้เป็นหลัก

ตัวอย่างของหุ้นจอง ที่ปีนี้เมื่อเข้าซื้อขายวันแรกออกอาการป้อแป้ ทั้งที่มีความพยายามลดราคาจองลงอย่าระวังแล้วตามสถานการณ์  ไม่คึกคักเหมือนกระทิงเปลี่ยวเมื่อปีก่อน สะท้อนอารมณ์ห่อเหี่ยวของนักลงทุนได้ดีมาก ยิ่งกว่าบทวิเคราะห์ใดๆ

เมื่อคำตอบจากปัจจัยที่เกี่ยวข้อง เป็นทิศทางที่บ่งบอกว่า ขีดจำกัดของดัชนีตลาดหุ้นไทยขาขึ้นมีมาก แต่ขีดจำกัดขาลงมีน้อย

ทิศทางของดัชนี SET จึงค่อนข้างสิ้นหวังมากกว่ามีหวัง

นักวิเคราะห์ระดับเซียนเรียกพี่ (ขอสงวนนาม) กระซิบบอกเมื่อวันก่อนหยุดยาวล่าสุดว่า อาจจะเกิดปรากฏการณ์ ดิ่งเหว

ไม่คาดฝันทำนอง “สึนามิ” ในตลาดหุ้นไทยอีกไม่นานได้ แต่ไม่มีใครรู้แน่นอนเท่านั้น

สัปดาห์นี้ เป็นอีกสัปดาห์หนึ่ง ที่มีความสำคัญ นอกจากเรื่องการเจรจาหนี้กรีซรอบสุดท้ายที่จะรู้ผลว่าหมู่หรือจ่า ที่จะสะเทือนโลกรุนแรงแล้ว ทิศทางของดัชนีตลาดหุ้นไทย ทั้ง SET, SET50 และอื่นๆ จะทำให้นักลงทุนบางคนพอร์ตหดหาย และบางคนกลายเป็นเศรษฐีใหม่ในพริบตา ได้ง่ายมาก

ปีนี้ มีคนบอกว่าเล่นหุ้นยากมาก หากผ่านสัปดาห์นี้ไป อาจจะมีคนบอกว่าเป็นสัปดาห์ “มหาหิน” กันเลยทีเดียว

สัปดาห์นี้ คนขวัญอ่อน ไม่พึงกล้ำกรายใกล้ตลาดหุ้นไทย หากลืมพกยากระตุ้นหัวใจ

Back to top button