พาราสาวะถี
โจทย์ทางการเมืองสำหรับผู้นำเวลานี้ ไม่ใช่แค่ท่องคาถาปรองดอง ปฏิรูปและไทยแลนด์ 4.0 อีกต่อไปแล้ว เพราะประชาชนรับรู้โดยทั่วกัน ไม่มีแรงกระเพื่อมใดๆ ที่จะส่งผลสะเทือนต่อเสถียรภาพของรัฐบาลภายใต้การใช้มาตรา 44 และกฎหมายพิเศษที่มีอยู่ในมือ ปัญหาใหญ่เวลานี้คือ ที่โพนทะนากันว่าตัวเลขเศรษฐกิจเป็นบวกมันเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนโดยส่วนใหญ่หรือไม่
อรชุน
โจทย์ทางการเมืองสำหรับผู้นำเวลานี้ ไม่ใช่แค่ท่องคาถาปรองดอง ปฏิรูปและไทยแลนด์ 4.0 อีกต่อไปแล้ว เพราะประชาชนรับรู้โดยทั่วกัน ไม่มีแรงกระเพื่อมใดๆ ที่จะส่งผลสะเทือนต่อเสถียรภาพของรัฐบาลภายใต้การใช้มาตรา 44 และกฎหมายพิเศษที่มีอยู่ในมือ ปัญหาใหญ่เวลานี้คือ ที่โพนทะนากันว่าตัวเลขเศรษฐกิจเป็นบวกมันเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนโดยส่วนใหญ่หรือไม่
ไม่เพียงเท่านั้น เรื่องที่โหมประชาสัมพันธ์หรือเรียกว่าเป็นปฏิบัติการข่าวสารไอโอของรัฐบาลคสช.เลยก็ว่าได้ นั่นก็คือเรื่องปราบปรามคอร์รัปชั่น ตลอดระยะเวลากว่า 3 ปี ไม่มีนักการเมืองอยู่บนเส้นทางของการบริหารประเทศ ไม่มีแม้แต่จะเข้าไปข้องแวะบนเส้นทางแห่งอำนาจ แต่ถามว่า ทำไมเสียงสะท้อนของภาคประชาชนและเอกชน ยังพบว่ามีปัญหาการทุจริต เรียกรับหัวคิวกันอยู่
เอาแค่ 2 เรื่องนี้ ก็ยังหาคำตอบที่ชัดเจนหรือเป็นเหตุเป็นผลจากผู้มีอำนาจหรือเป็นเพราะว่า พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ประกาศชัดเจนไปแล้วเมื่อวันที่ 29 สิงหาคมที่ผ่านมา “ที่ใช้มาตรา 44 ในประเทศนี้ ผมไม่ต้องรับผิดชอบอะไรทั้งสิ้น ผมทำได้หมด ส่วนกฎหมาย อนุญาโตตุลาการ กฎหมายระหว่างประเทศ ก็ต้องสู้คดีกันไป แต่เมื่อผมใช้มาตรา 44 ผมไม่ต้องกลัวอะไรทั้งสิ้น เพราะคุ้มครองผม”
ตรงนี้ไม่ว่ากัน แต่ถามต่อไปว่าบ้านเมืองจะเดินกันไปด้วยวิธีการเช่นนี้หรือ หากเป็นเช่นนั้นก็หมายความว่า การเลือกตั้งจะต้องไม่เกิดขึ้นเพื่อให้มีการรัฐบาลใหม่ (ที่จะเป็นคนหน้าเดิม) มาแตะมือกับรัฐบาลคสช. เพราะข้อแม้หรือเงื่อนไขของการเลิกใช้มาตรายาวิเศษคือ การมีสภาที่มาจากการเลือกตั้งและมีรัฐบาลที่ผ่านกระบวนการการเลือกตั้งแล้วนั่นเอง
ถ้าจะเดินกันแบบนั้นก็หมายความว่า ผู้มีอำนาจมั่นใจแบบสุดๆ ว่า สิ่งที่ตัวเองทำมาทั้งหมดนั้นได้ตอบโจทย์ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนได้ทุกเรื่องแล้ว และคนส่วนใหญ่ก็ยินดีปรีดาที่จะให้ปฏิบัติหน้าที่ต่อไป หากเป็นเช่นนั้นก็เชิญอยู่กันตามสบาย จะใช้เวลา 20 ปีตามที่วางยุทธศาสตร์ชาติกันเอาไว้ก็ไม่มีใครว่าหรือทำอะไรได้
แต่โลกแห่งความเป็นจริงมันไม่ได้เป็นเช่นนั้น ทุกอำนาจในโลกไม่ว่าจะมาด้วยวิธีการใด สุดท้ายย่อมมีจุดอ่อนอันเป็นจุดตายหรือจุดสลบทำให้ผู้มีอำนาจในช่วงเวลาหนึ่งเวลาใดมีอันเป็นไปมานักต่อนักแล้ว เห็นเป็นลางสำหรับรัฐบาลเวลานี้ก็กรณี พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยลงนามในการอนุญาตให้เอกชนผู้ผลิตเครื่องดื่มชูกำลังยี่ห้อหนึ่งใช้ที่ดินสาธารณะประโยชน์หรือป่าชุมชนกว่า 31 ไร่ที่จังหวัดขอนแก่นสร้างแหล่งกักน้ำเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมนั่นปะไร
แน่นอนว่า เป็นการลงนามโดยการเสนอของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องซึ่งอ้างว่าได้ตรวจสอบ พิสูจน์แล้วว่าพื้นที่ดังกล่าวไม่ได้ใช้ประโยชน์และได้รับความยินยอมพร้อมใจจากประชาชนในพื้นที่และอบต.เจ้าของพื้นที่ แต่ดูเหมือนว่าข้อเท็จจริงมันไม่ได้เป็นเช่นนั้น เนื่องจากพบว่ามีกลุ่มที่เคลื่อนไหวคัดค้านอยู่ แต่บทสรุปของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทำไมจึงออกมาในรูปที่ว่าไร้เสียงต่อต้าน
ไม่เพียงเท่านั้น ตรรกะที่ง่ายที่สุดสำหรับมท.1ที่ประกาศลั่นแล้วว่า จะต้องมีการตรวจสอบให้ชัดถ้ามีเสียงคัดค้านจะลงนามสั่งยกเลิกทันที นั่นก็เรื่องหนึ่ง แต่ก่อนจะไปถึงจุดนั้น คำถามเบสิกที่คนอยากรู้เลยก็คือ ทีมงานของท่านเองไม่เอะใจกันบ้างหรือ เหตุผล (บ้องตื้น) ที่อ้างว่าสภาพที่ดินดังกล่าวแห้งแล้ง ไม่มีแหล่งน้ำ แต่บริษัทกลับนำไปสร้างแหล่งกักเก็บน้ำ แล้วไปเอาน้ำมาจากไหน
เหตุผลแค่เท่านี้ก็น่าจะเป็นสิ่งที่พิสูจน์ได้แล้วว่า ที่หน่วยงานยืนยันมาเพื่อให้รัฐมนตรีว่าการลงนามนั้นมันเป็นเรื่องจริงหรือไม่ ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีประเด็นที่น่าสนใจว่าเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการประชาพิจารณ์พบมีแต่เสียงของฝ่ายที่เห็นด้วย ซึ่งมันขัดกับหลักแห่งความเป็นจริงที่ว่า คงไม่มีใครเห็นด้วยทั้งหมด แล้วทำไมเสียงที่คัดค้านนั้นจึงไม่ได้ถูกสะท้อนมาให้ผู้มีอำนาจลงนามได้รับรู้รับทราบด้วย
นี่แค่เพียงเรื่องเดียว อันเสมือนสัญญาณเตือนบิ๊กตู่และชาวคณะว่า ต่อให้มีอำนาจล้นฟ้าอย่างไร หากมันมีสิ่งที่ไม่ชอบมาพากล เกี่ยวข้องเกี่ยวพันกับการใช้อำนาจและการทุจริต ประพฤติมิชอบ สิ่งนั้นมันจะเป็นตัวเร่งทำให้อำนาจเสื่อมลงอย่างรวดเร็ว ประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาเป็นตัวบ่งชี้ชัดเจน ประเด็นนี้เชื่อว่าผู้มีอำนาจคงเข้าใจสัจธรรมเป็นอย่างดี ยิ่งในภาวะที่ปัญหาปากท้องของประชาชนยังไม่ได้รับการแก้ไข เรื่องทุจริตถือเป็นสิ่งที่อ่อนไหวอย่างยิ่ง
การหายตัวไปของ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แม้จะมีความพยายามทำให้ดูเหมือนว่ามีความคืบหน้าแต่ก็ไร้ความคืบหน้า เมื่อวันศุกร์ที่แล้ว พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ให้สัมภาษณ์พบรถต้องสงสัยผ่านด่านทหารที่สระแก้ว ทำให้มีการขยายผลกันคึกคักจนถึงขนาดมั่นอกมั่นใจว่าน่าจะมีการแถลงข่าวชี้แจงรายละเอียดกันให้กระจ่างชัด
เอาเข้าจริงฟัง พลเอกทวีป เนตรนิยม เลขาธิการสมช.พูดวันวาน ก็พบความจริงว่า ความคึกคักดังกล่าวนั้นกลับไม่พบความคืบหน้าแต่อย่างใด โดยกรณีของพบรถต้องสงสัยและคาดหมายว่ายิ่งลักษณ์จะเผ่นออกนอกประเทศที่สระแก้ว ก็ได้รับคำตอบว่า ตอนนี้ความชัดเจนออกมาทางด้านนั้น แต่ยังต้องเช็คละเอียดมากขึ้นไปอีกว่า มีการติดต่อ มีการดำเนินการในลักษณะอย่างไร
และเมื่อถามต่อว่าตอนนี้ได้คนที่อำนวยความสะดวกในการพายิ่งลักษณ์เดินทางออกนอกประเทศแล้วหรือยัง ยังคงดำเนินการหาหลักฐานต่อไปเพื่อให้เกิดความชัดเจนขึ้น โดยอ้างการที่จะไปดำเนินการอะไรกับบุคคลต้องมีความมั่นใจว่ามีสิ่งบอกเหตุ มีหลักฐานที่รวบรวบอย่างชัดเจน เช่นเดียวกับมีคนช่วยเหลือในการพาออกจำนวนกี่คน คำตอบคือ เวลานี้ยังไม่ได้ข้อมูลชัดเจน กำลังหาต่อไป บอกแล้วไงอะไรที่มันไม่เคลียร์แรงกระแทกย่อมถาโถมเข้าใส่ผู้มีอำนาจอยู่ตลอดเวลานั่นแหละ