บลจ.กสิกรไทยทุ่มงบกว่า589ล้านบาทเตรียมจ่ายปันผลกองต่างประเทศ5กอง

นายนาวิน อินทรสมบัติ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า บลจ.กสิกรไทย เตรียมจ่ายปันผลกองทุนต่างประเทศจำนวน 5 กองทุน ประกอบด้วย กองทุนเปิดเค เอเชียน สมอลเลอร์ หุ้นทุน (K-ASIA) สำหรับผลการดำเนินงานตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2557-30 เมษายน 2558 โดยจ่ายเงินปันผลในอัตรา 0.35 บาทต่อหน่วย, กองทุนเปิดเค ยูโรเปียน หุ้นทุน (K-EUROPE) สำหรับผลการดำเนินงานตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2557-30 เมษายน 2558 โดยจ่ายเงินปันผลในอัตรา 0.25 บาทต่อหน่วย


นายนาวิน อินทรสมบัติ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กสิกรไทย จำกัด เปิดเผยว่า บลจ.กสิกรไทย เตรียมจ่ายปันผลกองทุนต่างประเทศจำนวน 5 กองทุน ประกอบด้วย กองทุนเปิดเค เอเชียน สมอลเลอร์ หุ้นทุน (K-ASIA) สำหรับผลการดำเนินงานตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2557-30 เมษายน 2558 โดยจ่ายเงินปันผลในอัตรา 0.35 บาทต่อหน่วย, กองทุนเปิดเค ยูโรเปียน หุ้นทุน (K-EUROPE) สำหรับผลการดำเนินงานตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2557-30 เมษายน 2558 โดยจ่ายเงินปันผลในอัตรา 0.25 บาทต่อหน่วย

กองทุนเปิดเค ยูเอสเอ หุ้นทุน (K-USA) สำหรับผลการดำเนินงานตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2557 – 30 เมษายน 2558 โดยจ่ายเงินปันผลในอัตรา 0.20 บาทต่อหน่วย, กองทุนเปิดเค โกลบอล เฮลท์แคร์ หุ้นทุน (K-GHEALTH) สำหรับผลการดำเนินงานตั้งแต่วันที่ 26 พฤศจิกายน 2557-30 เมษายน 2558 โดยจ่ายเงินปันผลในอัตรา 0.50 บาทต่อหน่วย และกองทุนเปิดเค โกลบอล พร็อพเพอร์ตี้ หุ้นทุน (K-GPROP) สำหรับผลการดำเนินงานตั้งแต่วันที่ 15 กันยายน 2557-30 เมษายน 2558 โดยจ่ายเงินปันผลในอัตรา 0.25 บาทต่อหน่วย

ทั้ง 5 กองทุนดังกล่าวจะจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนที่มีรายชื่ออยู่ในสมุดทะเบียน ณ เวลา 8.00 น. ของวันที่ 30 เมษายน 2558   และมีกำหนดจ่ายเงินปันผลดังกล่าวพร้อมกันในวันที่ 14 พฤษภาคม 2558 นี้ รวมมูลค่าเงินปันผลทั้งสิ้นกว่า 589 ล้านบาท

สำหรับบรรยากาศการลงทุนในภาพรวมตั้งแต่ต้นปี 2558 ตลาดหุ้นทั่วโลกในเกือบทุกภูมิภาคต่างปรับตัวขึ้นมาค่อนข้างมาก ทำให้กองทุนภายใต้การจัดการของบลจ.กสิกรไทยซึ่งลงทุนในภูมิภาคและกลุ่มธุรกิจต่างๆ มีผลประกอบการที่ดีจนสามารถจ่ายเงินปันผลในอัตราที่ค่อนข้างสูงได้หลายกองทุน เช่น ดัชนี S&P 500 ของสหรัฐฯ สามารถปรับตัวขึ้นทำระดับสูงสุดเหนือ 2,000 จุด โดยได้รับแรงหนุนจากหุ้นในกลุ่มไอทีและสินค้าฟุ่มเฟือย ทำให้กองทุน K-USA ของบลจ.กสิกรไทย ซึ่งมีน้ำหนักการลงทุนในหุ้นกลุ่มดังกล่าวในสัดส่วนที่สูงกว่าเกณฑ์มาตรฐาน สามารถสร้างผลการดำเนินงานที่โดดเด่น โดยในรอบผลดำเนินงานที่ผ่านมา (1 พ.ค.57 – 30 เม.ย. 58) ให้ผลตอบแทนกว่า 20% และเอาชนะเกณฑ์มาตรฐานที่ 11% อย่างไรก็ตาม ระดับราคาของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในปัจจุบันถือว่าอยู่ในระดับค่อนข้างสูง ประกอบกับปัจจัยด้านตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในไตรมาสแรกที่ขยายตัวต่ำกว่าที่คาดการณ์ ส่งผลให้ในระยะสั้นตลาดหุ้นสหรัฐฯ อาจมีการปรับฐานลงได้ ผู้ลงทุนจึงต้องใช้ความระมัดระวังในการเข้าลงทุนเพิ่มเติม

ด้านมุมมองเศรษฐกิจในภูมิภาคอื่นๆ มีมุมมองเชิงบวกต่อการลงทุนในตลาดหุ้นเอเชีย และยุโรป เนื่องจากมองว่ายังมีแนวโน้มเติบโตขึ้นต่อเนื่อง โดยเศรษฐกิจเอเชียจะได้รับแรงหนุนจากนโยบายผ่อนคลายทางการเงินจากประเทศหลักๆ อาทิ เกาหลีใต้ จีน รวมถึงสภาพคล่องในตลาดโลกที่ยังอยู่ในระดับสูงจากการดำเนินมาตรการ QE ของธนาคารกลางยุโรปและญี่ปุ่น ซึ่งจะช่วยเอื้อให้เกิดเม็ดเงินไหลเข้าสู่ตลาดหุ้นเอเชีย ด้านตลาดหุ้นยุโรปแม้จะปรับตัวลดลงในสัปดาห์ที่ผ่านมา จากแรงขายทำกำไรระยะสั้นและแรงกดดันจากตัวเลขผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนส่วนใหญ่ที่ออกมาชะลอตัวลง แต่เชื่อว่าในระยะยาวยังคงน่าสนใจ เนื่องจากยังเชื่อมั่นต่อมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของ ECB ซึ่งจะทำการเข้าซื้อสินทรัพย์ด้วยวงเงิน 6 หมื่นล้านยูโรต่อเดือน ตั้งแต่เดือนมี.ค.- ก.ย. 2559 รวมแล้วเป็นเงินกว่า 1.1 ล้านล้านยูโร ซึ่งน่าจะส่งผลให้เศรษฐกิจยุโรปสามารถฟื้นตัวได้และส่งผลบวกต่อตลาดหุ้นยุโรป จากปัจจัยที่กล่าวมาจึงเป็นจังหวะที่ดีในการเข้าลงทุนในตลาดหุ้นเอเชียและยุโรปเพิ่มเติมได้

สำหรับผลการดำเนินงานของกองทุน K-EUROPE ในรอบบัญชีที่ผ่านมา (1 ส.ค. 57 – 30 เม.ย. 58) สามารถให้ผลตอบแทนที่โดดเด่นถึง 19% เอาชนะเกณฑ์มาตรฐานที่ปรับตัวบวกเพียง 2% โดยกองทุนมีจุดเด่นคือเน้นการลงทุนในหุ้นพื้นฐานดีที่มีอัตราการเติบโตสูง รวมถึงหุ้นที่มีรายได้ส่วนใหญ่มาจากนอกประเทศซึ่งได้รับอานิสงส์จากค่าเงินยูโรที่มีทิศทางอ่อนค่าลงจากการอัดฉีดเม็ดเงินอย่างต่อเนื่อง ส่วนผลการดำเนินงานของกองทุน K-ASIA ในรอบบัญชีที่ผ่านมา (1 พ.ย. 57 – 30 เม.ย. 58) สามารถให้ผลตอบแทนกว่า 9% และสามารถจ่ายปันผลครั้งแรกในรอบบัญชีในอัตรา 0.35 หรือคิดเป็นอัตราการจ่ายปันผลที่ 3.03% โดยกองทุนมีจุดเด่นคือการเน้นลงทุนในหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็ก และให้น้ำหนักการลงทุนในประเทศเกาหลีใต้ จีน และอินเดีย รวมแล้วกว่า 70% ซึ่งประเทศเหล่านี้ล้วนได้รับอานิสงส์มาจากนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายดังกล่าว

ด้านกองทุน K-GHEALTH สามารถจ่ายเงินปันผลได้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่จัดตั้งกองทุนได้เพียง 5 เดือน โดยกองทุนสามารถให้ผลดำเนินงานกว่า 6% และมีการจ่ายเงินปันผลในอัตราสูงถึง 0.50 บาทต่อหน่วย หรือคิดเป็นอัตราการจ่ายปันผลที่ 4.94% โดยกองทุนมีจุดเด่นคือ กองทุนหลักจะมีการกระจายการลงทุนไปในหุ้นหมวดสุขภาพทั่วโลก อาทิ เวชภัณฑ์ เทคโนโลยีชีวภาพ บริการด้านดูแลสุขภาพ และเทคโนโลยีทางการแพทย์ โดยเน้นการลงทุนในหุ้นกลุ่มที่มีโอกาสขยายตัวอย่างรวดเร็วตามนวัตกรรมทางวิทยาศาสตร์ใหม่ๆ และปัจจุบันหุ้นในกลุ่ม Healthcare ได้ปรับตัวขึ้นแรงในช่วงที่ผ่านมา โดยนับตั้งแต่ 1 ปี ย้อนหลัง ดัชนี MSCI World Health Care มีการปรับตัวขึ้นกว่า 20% โดยเอาชนะดัชนีหุ้นโลกที่ปรับตัวขึ้นเพียง 5%

ส่วนกองทุน K-GPROP มีการจ่ายปันผลเป็นครั้งที่ 2 นับตั้งแต่จัดตั้งกองทุนในเดือนกันยายนปี 2557 โดยตั้งแต่จัดตั้งกองทุนสามารถให้ผลตอบแทนกว่า 8% และมีการจ่ายปันผลในครั้งนี้ในอัตรา 0.25 บาทต่อหน่วย หรือคิดเป็นอัตราการจ่ายปันผลที่ 2.43% ทั้งนี้กองทุนมีจุดเด่นคือ กองทุนหลักมีการกระจายการลงทุนในหุ้นอสังหาริมทรัพย์ในภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลก อาทิ สหรัฐฯ ยุโรป และเอเชีย โดยให้น้ำหนักลงทุนใน REIT เอเชียสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐาน เนื่องจากเชื่อมั่นในแนวโน้มการเติบโตที่ดี โดยเฉพาะในฮ่องกงที่มีอุปสงค์ในอุตสาหกรรมอสังหาฯเพิ่มขึ้น ประกอบกับราคาที่ยังอยู่ในระดับที่น่าสนใจ ขณะที่ให้น้ำหนักในสหรัฐฯ และยุโรปต่ำกว่าเกณฑ์มาตรฐาน เนื่องจากราคาหุ้นกลุ่มนี้ปรับตัวขึ้นมาค่อนข้างมากและเริ่มแพงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต

               

Back to top button