“มิทซึจิ” ประกาศตัดตอนลูกหนี้สิงคโปร์-ไซปรัสภายในปี 61 ส่งผลพอร์ตสินเชื่อลดวูบ 40%!
"มิทซึจิ โคโนชิตะ" ประกาศตัดตอนลูกหนี้สิงคโปร์-ไซปรัส ภายในปี 61 ส่งผลพอร์ตสินเชื่อลดวูบ 40%!
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณีที่ นายมิทซึจิ โคโนชิตะ ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ บริษัท กรุ๊ปลีส จำกัด (มหาชน) หรือ GL เปิดเผยถึงกรณีการปล่อยกู้ให้กับผู้กู้กลุ่มไซปรัสและผู้กู้กลุ่มสิงคโปร์ ว่า ปัจจุบันผู้กู้ทั้ง 2 กลุ่ม ได้ชำระหนี้เงินกู้มาอย่างต่อเนื่อง และมีการชำระมาล่วงหน้ามาต่อเนื่อง ส่งผลให้เหลือมูลค่าที่จะต้องชำระหนี้คืนเพียง 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ 1,815 ล้านบาท (ณ อัตราแลกเปลี่ยน 33 บาท/ดอลลาร์สหรัฐฯ) และคาดว่าจะชำระได้ครบทั้งหมดภายในปีนี้ หรืออย่างช้าภายในปี 61 โดยบริษัทยืนยันว่าจะไม่มีการปล่อยสินเชื่อในรูปแบบนี้อีกเพื่อไม่ให้เกิดความเข้าใจผิด และเกิดความกังวลต่อนักลงทุน
ทั้งนี้เป็นที่น่าจับตามองว่าประเด็นดังกล่าวอาจส่งกระทบต่อรายได้ดอกเบี้ยเงินกู้ของ GL เป็นอย่างมาก โดย “ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ตรวจสอบข้อมูลพบว่า กำไรไตรมาส 2/60 ของ GL ซึ่งอยู่ที่ระดับ 337.69 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้น 31% จากช่วงเดียวกันเมื่อไตรมาสก่อนที่มีกำไร 256.48 ล้านบาท นั้น ส่วนหนึ่งมาจากการที่บริษัทได้รับการรับชำระเงินกู้คืนล่วงหน้าจากผู้กู้กลุ่มไซปรัสที่ได้จ่ายชำระคืนเงินให้กู้ยืมก่อนกำหนดรวมทั้งดอกเบี้ยค้างรับทั้งหมด ซึ่งคิดคำนวณจนถึงวันที่ชำระเงินคืนล่วงหน้าตามสัญญาเงินกู้จากผู้กู้กลุ่มไซปรัส เมื่อวันที่ 10 เม.ย.ที่ผ่านมา โดยได้รับชำระผ่านทางการโอนเงินเข้าบัญชีธนาคารของ GLH จำนวน 12 ล้านเหรียญสหรัฐอเมริกาคิดเป็นจำนวนเงินประมาณ 414 ล้านบาท
นอกจากนี้ตามข้อสังเกตในหมายเหตุประกอบงบการเงินรวมประจำปี 2559 ของผู้สอบบัญชี ระบุว่า เงินให้กู้ยืมและดอกเบี้ยค้างรับของผู้กู้ทั้ง 2 กลุ่มมีจำนวนถึง 3,477 ล้านบาท หรือคิดเป็น 40% ของพอร์ตสินเชื่อรวมของ GL ณ สิ้นปี 2559
จะเท่ากับว่าหากผู้กู้กลุ่มไซปรัสและผู้กู้กลุ่มสิงคโปร์ ทำการชำระหนี้เงินกู้หมดทั้งจำนวนให้กับ GL ภายในปี 60 แล้ว บริษัทจะไม่มีรายได้ดอกเบี้ยจากผู้กู้ทั้ง 2 กลุ่มอีกต่อไป ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อรายได้และพอร์ตสินเชื่อของ GL โดยตรง เนื่องจากผลประกอบการที่ผ่านมาของ GL ที่มีการเติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยมีสาเหตุมาจากรายได้จากการปล่อยกู้ให้กับกลุ่มไซปรัสและผู้กู้กลุ่มสิงคโปร์ จึงเป็นที่น่าจับตาว่า หากไม่มีรายได้ดอกเบี้ยจากผู้กู้ทั้ง 2 กลุ่มแล้ว ตั้งแต่ปี 2561 เป็นต้นไปผลประกอบการของบริษัทอาจจะลดลงอย่างมีนัยสำคัญ