PSTC ลูกไม้ใกล้โคนต้น

เสี่ยเจริญ สิริวัฒนภักดี ชาญฉลาดและช่ำชองกับการสร้างความมั่งคั่งแค่ไหน คงไม่ต้องสาธยายให้เปลืองเวลา


แฉทุกวันทันเกมหุ้น

เสี่ยเจริญ สิริวัฒนภักดี ชาญฉลาดและช่ำชองกับการสร้างความมั่งคั่งแค่ไหน คงไม่ต้องสาธยายให้เปลืองเวลา

เอาเป็นว่าจุดเด่นสุดของกลยุทธ์ “ใช้หนี้สร้างสินทรัพย์” ที่เสี่ยเจริญใช้จนสามารถทำให้เกิด “เงินต่อเงิน” นั้น สามารถเขียนตำราได้หลายเล่มก็แล้วกัน

วันนี้ ดูเหมือน ความชาญฉลาดของเสี่ยเจริญ กำลังถูกถ่ายทอดมาสู่คนรุ่นที่สองที่เป็น “ลูกเสือไม่ยอมทิ้งลาย” เพียงแต่ด้วยรายะเอียดต่างกันเท่านั้น เพราะกลยุทธ์สร้างธุรกิจด้วยการทำ M&A ถูกใช้ต่อมาอย่างไร้รอยตะเข็บ

นางวัลลภา  ไตรโสรัส ลูกสาวของเสี่ยเจริญ (ใช้นามสกุลของสามี) ได้ร่วมกับ นายโสมพัฒน์  ไตรโสรัส ถือหุ้นอยู่รวมทั้งหมด  หรือ 23.64%  (คนแรกถือ 510,700,000 หุ้น หรือ 11.52% คนหลังถือ 532,600,000 หุ้น หรือ 12.02%) ในบริษัท เพาเวอร์ โซลูชั่น เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ PSTC เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับหนึ่งร่วมกัน โดยมีนายพระนาย กังวานรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารขึ้นเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับที่ 3 ด้วยสัดส่วนถือหุ้น 9.22%

การถือหุ้นดังกล่าว เป็นการทยอยซื้อกิจการเดิม จากกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ก่อนหน้า บริษัท เอ็ม.วี.ที. คอมมิวนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) ที่เคยเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 1 ด้วยสัดส่วน 18.18% แต่ปัจจุบันลดลงไปเหลือแค่ 6.0% หลังจากการเพิ่มทุนครั้งใหญ่เมื่อปี 2559 เนื่องจากต้องการขยายกิจการสู่ธุรกิจพลังงานทางเลือกที่ต้องใช้ทุนมหาศาล

การรุกเข้าถือหุ้นใหญ่ในธุรกิจพลังงานครั้งนี้ แม้จะไม่ชัดเจนว่าเป็น “เจตนารมณ์ส่วนตัว” ของครอบครัวไตรโสรัส หรือ “เจตนารมณ์ร่วม” ของกลุ่มเสี่ยเจริญ แต่ก็ถือว่าเป็น “หินลองทอง” ของคนในตระกูลนี้ที่จะเข้าสู่ธุรกิจพลังงาน …

ส่วนจะเป็น “ก้าวย่างเล็กๆ ในปัจจุบัน แต่ยิ่งใหญ่ในอนาคต” หรือไม่… ต้องติดตามกัน

แล้วหลังจากเปิดเกมรุกเข้ามาบริหารเต็มตัว กลุ่มไตรโสรัส ก็เดินหน้าทำธุรกรรมซื้อกิจการเพื่อโตทางลัดตามงานถนัดของกลุ่มเสี่ยเจริญที่ “ถนัดซื้อ” มากกว่า “ถนัดสร้าง”

ในฐานะ “ผู้มาทีหลัง” ทางเลือกนี้เปิดอ้าซ่าทีเดียว…. ภายใต้เงื่อนไขเดียวว่าต้องมีกะตังค์

เข้าสู่หลัก…. มีเงิน (ซะอย่าง) จ้างผีโม่แป้งก็ยังได้

ปีที่ผ่านมา PSTC ใช้เงิน 150 ล้านบาทเข้าลงทุนซื้อหุ้นในบริษัท เวลล์ โคราช เอ็นเนอร์ยี จำกัด (เวลล์ โคราช) เป็นเจ้าของโรงงานผลิตและจำหน่ายกระแสไฟฟ้าชีวมวล โดยใช้เปลือกไม้และเศษไม้ เป็นวัตถุดิบ ที่จังหวัดบุรีรัมย์ ตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ในปริมาณพลังไฟฟ้าสูงสุด 8 เมกะวัตต์ ต่อจาก กลุ่มบริษัท ทาคูนิ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TAKUNI ของตระกูลตรีวีรานุวัฒน์ โดยยอมแบกรับภาระหนี้ที่ เวลล์ โคราช มีกับบริษัทอื่นๆ อีก 200 ล้านบาท

ครั้งนั้น มีการตั้งข้อสังเกตเบื้องต้นของคนขี้สงสัยว่า ในอนาคตอาจจะมีการควบรวมธุรกิจพลังงานของ PSTC กับกลุ่มโรงงานน้ำตาลของเสี่ยเจริญ ภายใต้ชื่อ Cristalla ที่ได้รับใบอนุญาตให้ขยายกำลังการผลิตรวมกันถึง 144,000 ตันอ้อยต่อวัน เพื่อต่อยอดธุรกิจพลังงานในส่วนโรงไฟฟ้าชีวภาพ โดยเป็นการนำวัตถุดิบจากโรงน้ำตาลและโรงงานเอทานอลมาใช้ในการผลิตไฟฟ้าพลังงานชีวมวล… แต่เรื่องดังกล่าวยังไม่เกิดขึ้น จึงยกประโยชน์ให้ผู้ถูกกล่าวถึง โดยปริยาย

ความคืบหน้าล่าสุดของ PSTC ในการเพิ่มทุนเพื่อทำ M&A ครั้งใหม่ … ทำให้คำถามจากข้อสังเกตเดิมที่ยังไม่บรรลุ…กลับย้อนมาอีกครั้งถึงความเป็นไปได้

อย่างไรเสีย ลูกไม้ย่อมหล่นไม่ไกลต้น

มติที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ PSTC ครั้งที่ 5/2560 วันที่ 22 กันยายน ระบุถึงการอนุมัติแผนการเข้าลงทุนในบริษัท บิ๊กแก๊ส เทคโนโลยี จำกัด (บิ๊กแก๊ส) เป็นบริษัทที่ประกอบธุรกิจด้านวิศวกรรมพลังงานและจำหน่ายเชื้อเพลิงประเภทก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) รวมถึงธุรกิจอื่นๆ ที่เกี่ยวเนื่อง เช่น การก่อสร้างสถานีบริการก๊าซธรรมชาติ งานซ่อมบำรุงสถานีบริการก๊าซธรรมชาติ งานซ่อมบำรุงรถขนส่งก๊าซธรรมชาติ และงานติดตั้งระบบเชื้อเพลิงสำหรับโรงงานอุตสาหกรรม

รายละเอียดบอกว่า PSTC จะเข้าซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบิ๊กแก๊ส 41,632,000 หุ้น (พาร์หุ้นละ 5 บาท) คิดเป็นสัดส่วน 51% ของจำนวนหุ้นทั้งหมดของบิ๊กแก๊สในราคาหุ้นละประมาณ 32.43 บาท คิดเป็นมูลค่ารวมทั้งสิ้นไม่เกิน 1,350 ล้านบาท

การชำระเงินค่าหุ้นจะแบ่งเป็น  2 คราว คือ ครั้งที่ 1 มูลค่าชำระ 800 ล้านบาท และครั้งที่ 2 ในมูลค่าชำระอีก 550 ล้านบาท

การซื้อกิจการแบบ “ปลาเล็กกินปลาใหญ่”…. เพราะ PSTC มีส่วนผู้ถือหุ้นเพียงแค่ 1,386 ล้านบาทเศษเท่านั้น เงินสดไม่พอแน่นอน… เป็นเหตุให้มติเพิ่มทุนขายหุ้นแบบเฉพาะเจาะจงกับพันธมิตรธุรกิจที่คุ้นเคยกัน

PSTC จะเพิ่มทุนโดยออกและเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัทฯให้แก่ บุคคลในวงจำกัด (Private Placement : PP)  เพื่อรองรับการเข้าลงทุนในบิ๊กแก๊ส (ภายในเดือน ธ.ค. 2560) โดยมติจะเพิ่มทุนจดทะเบียนจำนวน 265 ล้านบาท หรืออีก 51% จากทุนจดทะเบียนเดิมจำนวน 491.337 ล้านบาท โดยออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 2,650,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (Par) 0.10 บาทต่อหุ้น จัดสรรให้แก่ PP จำนวน  2,000,000,000 หุ้น ในราคาจองซื้อ 0.72 บาทต่อหุ้น  มูลค่าทั้งสิ้น 1,440 ล้านบาท

เป้าหมายการเพิ่มทุนที่เขียนไว้สวยหรูว่า…. เพื่อรองรับการเข้าลงทุนในบิ๊กแก๊ส ตลอดจนเพื่อชำระหนี้เงินกู้ยืมระยะสั้นแก่สถาบันการเงิน และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนสำหรับการดำเนินกิจการของบริษัทฯต่อไป… ไม่สามารถกลบข้อเท็จจริงที่ว่า ขายหุ้นได้ราคาสูง เพราะว่าราคาขาย 0.72 บาทนั้น ทำให้ PSTC มีส่วนเหลื่อมมูลค่าหุ้นมากถึง 0.62 บาท

ถือเป็นการ “ฉลาดขาย” อนาคต… อีกแล้ว

ลูกสาว-ลูกเขยเสี่ยยามนี้ นอกจาก “หล่นไม่ไกลต้น” แล้ว… ยังดูเหมือน “หล่นโคนต้น” ทีเดียวเชียว

ดูจากรายชื่อพันธมิตรร่วมทุนชุดใหม่ที่จะซื้อหุ้นพีพี ก็ไม่ธรรมดา เพราะประกอบด้วย “บุคคลในแวดวง” ที่เขี้ยวลากดินปิดไม่มิดนับแต่….

1.นายเฉลิมชัย มหากิจศิริ  2.นายจักรกฤช จารุจินดา 3.นางสุกัญญา วนิชจักร์วงศ์ 4.นายพรศักดิ์ หิรัญชูพงศ์ 5.นายอภิรัตน์ สิโรดม 6.นายมาดี สุธัมมะ 7.นายพรเทพ บูรณกุลไพโรจน์

8.นายธนัช ปวรวิปุลยากร 9.นางนุชนารถ รัตนสุวรรณชาติ 10.นายเกียรติศักดิ์ ไตรตรึงษ์ทัศนา

11.นายอรรณพ ลิ้มประเสริฐ 12.นายบุญเกียรติ เอื้อสุดกิจ 13.นางศลิษา พิบูลย์สวัสดิ์ 14.นายณัฐพงษ์ รัตนสุวรรณทวี 15.นายปฐม สุมิตรัชตานนท์ 16.นายชัชชัย จารุเสถียร 17.นายกิตติภัต สุทธิสัมพัทน์ 18.นายพรเสก  กาญจนจารี 19.นางเมธ์วดี นวพันธ์ 20.นายกิตติเดช จารุเสถียร 21. นางสาวนฤพร กาญจนจารี 22.นางสาวอรยาพร  กาญจนจารี 23.นายพรประเสริฐ กาญจนจารี

ดีลเพิ่มทุนและซื้อกิจการของ PSTC อย่างบูรณาการนี้ เป็นการโตทางลัดที่หนีไม่พ้น “เงา” เสี่ยเจริญ แต่ต่างออกไปตรงที่….ไม่ใช้หนี้สร้างสินทรัพย์ แต่ใช้ “ทุนต่อทุน” เอาเงินคนอื่นมาต่อยอด ในฐานทุนร่วมเสี่ยง….แต่ปลายทางอย่างเดียวกันคือ รวย…รวย… รวย

อิ อิ อิ

Back to top button