KTC ปรับกลยุทธ์ปี 61 ทรานสฟอร์มสู่โลกดิจิทัลเต็มรูปแบบไทยแลนด์ 4.0

KTC ปรับกลยุทธ์ปี 61 ทรานสฟอร์มสู่โลกดิจิทัลเต็มรูปแบบไทยแลนด์ 4.0


นายระเฑียร ศรีมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTC เปิดเผยว่า ปี 61 ปรับแผนกลยุทธ์ด้านไอทีและดิจิทัลเพื่อสนับสนุนประเทศไทยสู่สังคมไร้เงินสด (Cashless Society) อย่างเต็มรูปแบบ ด้วย  3 แนวทางหลัก คือ 1.ระบบต้องมีความเสถียร 2.โมเดลธุรกิจที่จับต้องได้ และ 3.กระบวนการทำงานถูกต้องและมีประสิทธิภาพ เนื่องจากปัจจุบันเทคโนโลยีก้าวไปเร็ว สถาบันการเงินของไทยกำลังเปลี่ยนผ่านไปสู่โลกแห่งดิจิทัล ไทยแลนด์ 4.0 ตามแผนการพัฒนาระบบการชำระเงินแบบอิเล็คทรอนิกส์แห่งชาติ (National ePayment)

โดยปี 61 บริษัทจะเดินหน้าขยายความร่วมมือกับทุกพันธมิตรที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญโดดเด่นในธุรกิจนั้นๆ (Collaborative Business Model) แบบไม่มีขีดจำกัด ไม่ว่าจะเป็น พันธมิตรทางการตลาด กลุ่มสตาร์ทอัพ ฟินเทค หรือร้านค้าที่มีจุดแข็งโดดเด่นและพร้อมที่จะทำงานร่วมกัน เพื่อนำเสนอบริการที่มีคุณค่าให้กับสมาชิก และรองรับธุรกรรมการเงินผ่านช่องทางออนไลน์ที่มากขึ้น

นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนปรับกลยุทธ์การตลาดในธุรกิจหลัก คือ บัตรเครดิต สินเชื่อบุคคล และร้านค้า เพื่อสร้างโอกาสจากมาตรการของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในการสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายใหม่และรักษาฐานสมาชิกเดิมให้อยู่กับแบรนด์เคทีซีอย่างยั่งยืน

“เราศึกษาและทดสอบระบบอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้แน่ใจว่าได้นวัตกรรมบริการที่ดีที่สุดและเหมาะสมมาพัฒนาและประยุกต์ใช้กับธุรกิจบัตรเครดิตและสินเชื่อบุคคลซึ่งเป็นธุรกิจหลัก ควบคู่ไปกับการศึกษาพฤติกรรมความต้องการของลูกค้าจากฐานข้อมูล (Big Data) และวิเคราะห์ปัญหา (Pain Points) ที่มาจากลูกค้าจริงๆ เพื่อให้แน่ใจว่านวัตกรรมบริการที่จะนำไปเสนอกับลูกค้าต้องเป็นประโยชน์ มีความเสถียร รวดเร็ว ใช้งานง่ายและปลอดภัยที่สุด

ในขณะเดียวกันเมื่อลูกค้ามีการใช้จ่ายบัตรเครดิตผ่านทางออนไลน์มากขึ้น เราเองก็ต้องแน่ใจว่าเรามีระบบที่ดีที่สุดสำหรับร้านค้าในการรองรับธุรกรรมที่จะเติบโตมากขึ้นด้วยเช่นกัน ที่สำคัญจะต้องนำเสนอประสบการณ์ที่ดี (CX-Customer Experience) และเหนือกว่าความคาดหมายของผู้ถือบัตรเครดิตในการทำธุรกรรม”นายระเฑียร กล่าว

นายระเฑียร กล่าวว่า บริษัทมุ่งขยายธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืนด้วยโมเดลธุรกิจที่แตกต่างและเป็นรูปธรรม โดยมีเทคโนโลยีเป็นเครื่องมือสนับสนุนให้ธุรกิจขับเคลื่อนอย่างมีเสถียรภาพ โดยเคทีซีมีความพร้อมเกือบ 100% สำหรับการรองรับแพลทฟอร์มงานดิจิทัลอย่างเต็มที่ และเชื่อว่าลูกค้าจะได้รับบริการด้านดิจิทัลที่ดีที่สุดของวงการบัตรเครดิตในขณะนี้

“เราพร้อมจะให้สมาชิกเคทีซีหรือแม้กระทั่งผู้บริโภคที่อาจจะเป็นลูกค้าเราในอนาคต เป็นผู้พิสูจน์และบอกเรา เพื่อให้เราได้มีโอกาสปรับปรุงและพัฒนางานให้ดียิ่งขึ้น เพราะการจะทำให้ลูกค้าหรือสมาชิกผูกพันกับแบรนด์เคทีซีได้อย่างยั่งยืน ควรจะมาจากความพึงพอใจของลูกค้าที่ได้รับจากประสบการณ์ใช้งานจริงๆ และเคทีซีจะไม่หยุดแค่นี้ เรายังคงทำงานหนักต่อเนื่องเพื่อสรรหาสิ่งที่ดีที่สุด มานำเสนอให้ลูกค้าได้รับประโยชน์ครบทุกความต้องการ เพื่อสร้างความผูกพันระหว่างลูกค้ากับแบรนด์เคทีซีอย่างยั่งยืน” นายระเฑียร กล่าว

ด้านนางพิทยา วรปัญญาสกุล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธุรกิจบัตรเครดิต KTC กล่าวถึงกลยุทธ์การตลาดธุรกิจบัตรเครดิตในปี 61 ว่า ทีมการตลาดของบริษัทฯ จะเดินหน้าความร่วมมือกับพันธมิตรธุรกิจต่างๆ เพื่อสรรหาสิทธิพิเศษที่เป็นประโยชน์ทุกหมวดการใช้จ่ายที่จำเป็นและตอบสนองทุกเทรนด์ของไลฟ์สไตล์ที่จะเกิดขึ้น เช่น หมวดกีฬา ท่องเที่ยว ของเล่น ของสะสม สัตว์เลี้ยงและคอมมูนิตี้ต่างๆ  เพื่อเป้าหมายของการเป็นบัตรเครดิตอันดับต้นๆ ที่ทุกคนนึกถึง

ผนวกเข้ากับกลยุทธ์สร้างสัมพันธ์ระยะยาวกับฐานสมาชิกเดิมด้วยโปรแกรมคะแนนสะสม KTC Forever Rewards โดยจะขยายทั้งรูปแบบการใช้คะแนนที่หลากหลาย และเพิ่มช่องทางในการแลกสินค้าและบริการให้มากขึ้น รวมทั้งจะมุ่งสร้างการรับรู้ผ่านสื่อต่างๆ และช่องทางออนไลน์ให้สมาชิกได้ทราบรายการส่งเสริมการตลาด และบริการแบ่งชำระ 0%  KTC Flexi  เพื่อสร้างโอกาสในการใช้จ่ายผ่านบัตร

รวมถึงพัฒนาช่องทางออนไลน์ให้สมาชิกเคทีซีทำธุรกรรมรายการต่างๆ ได้ด้วยตนเองผ่าน “Click KTC” บนเว็บไซต์ www.ktc.co.th โฉมใหม่ หรือผ่านโมบาย แอพพลิเคชั่น “TapKTC” โดยบริษัทฯ ได้ปรับโฉมใหม่ของโมบาย แอพพลิเคชั่น “TapKTC” เพิ่มฟังก์ชั่นการใช้งานที่ตอบโจทย์ลูกค้าใช้ง่าย สะดวกและสบายตากับฟีเจอร์จำเป็นที่ลูกค้าเลือกได้เอง เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าในหลายด้าน นอกเหนือจากความคุ้มค่าและความหลากหลายของสิทธิพิเศษที่เราจะคัดสรรมาให้

น.ส.สุดาพร  จันทร์วัฒนากุล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธุรกิจสินเชื่อบุคคล KTC กล่าวถึงกลยุทธ์การตลาดในปี 61 ว่า ในปีหน้าคาดว่าตลาดสินเชื่อบุคคลจะมีการแข่งขันสูงและมีความท้าทายผู้ประกอบการมากขึ้นกว่าเดิมจากกฎเกณฑ์ที่ ธปท.ประกาศใช้เมื่อวันที่ 1 ก.ย.ที่ผ่านมา โดยบริษัทจะขยายฐานสมาชิกใหม่ไปยังกลุ่มเป้าหมายศักยภาพที่มีรายได้ 30,000 บาทมากขึ้น เพราะไม่มีการจำกัดวงเงินและจำนวนสถาบันการเงิน

ขณะเดียวกันจะนำเสนอผลิตภัณฑ์ให้กับผู้มีรายได้น้อยกว่า 30,000 บาท ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าสำคัญของบริษัทฯ โดยเฉพาะผู้ที่เพิ่งจบการศึกษาและมีงานประจำทำ เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีให้เคทีซี พราว”KTC PROUD” เป็นบัตรใบแรกที่เคียงคู่กับผู้ใช้และเป็นที่ปรึกษาทางการเงินในยามที่จำเป็น โดยตั้งเป้าหมายยอดสมาชิกขยายตัวเพิ่มขึ้นเป็นสองหลัก

ขณะเดียวกันบริษัทจะพัฒนาคุณสมบัติของผลิตภัณฑ์และบริการสินเชื่อพร้อมใช้ “เคทีซี พราว” ให้ตอบโจทย์สมาชิกมากขึ้น ผ่านช่องทางออนไลน์ เพื่อให้ลูกค้าได้รับความสะดวกสบายในยุคดิจิทัล เช่น Cash Online การเบิกถอนเงินสดผ่านโทรศัพท์มือถือและเว็บไซต์เคทีซี สำหรับผู้มีบัญชีเงินฝากกับธนาคารกรุงไทย หรือการขอรหัสผ่านด้วยตนเองที่ Click KTC บนเว็บไซต์ หรือโมบาย แอพฯ “TapKTC” หรือทำรายการอัตโนมัติทางโทรศัพท์ด้วยระบบ IVR

รวมทั้งบริหารจัดการพอร์ตลูกหนี้ที่มีอยู่ให้มีประสิทธิภาพสูงสูดและผูกพันกับเคทีซีอย่างยั่งยืน ด้วยโปรแกรมการตลาดรูปแบบใหม่ๆ ที่แตกต่างและตรงกับความต้องการของสมาชิก เช่น การแบ่งเบาภาระหนี้และค่าครองชีพ คอร์สการให้ความรู้เพื่อสร้างรายได้เสริมการพัฒนาคุณภาพชีวิตต่างๆ ปัจจุบัน เคทีซีมีสมาชิกสินเชื่อบุคคล 850,383 บัญชี (ข้อมูล ณ 30 มิ.ย.60)

ส่วน นายปิยศักดิ์ เตชะเสน รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารอาวุโส ช่องทางจัดจำหน่ายและธุรกิจร้านค้า KTC กล่าวถึงกลยุทธ์การบริหารช่องทางจัดจำหน่ายและธุรกิจร้านค้าว่า ในปีหน้าถือเป็นปีแห่งความท้าทายในการขยายฐานลูกค้าใหม่เพื่อให้ตอบรับกับกฎเกณฑ์ของ ธปท. เคทีซีมีการปรับกลยุทธ์แนวคิดและวิธีการทำงานใหม่ทั้งกระบวนการให้เหมาะสม

โดยในส่วนของธุรกิจช่องทางจัดจำหน่ายจะมุ่งไปที่ 4 แนวทางหลักคือ 1.เพิ่มประสิทธิภาพในการขยายฐานลูกค้าคุณภาพให้ตรงกลุ่มมากกว่าการเน้นปริมาณ เน้นกลุ่มคนที่มีรายได้ตั้งแต่ 30,000 บาทมากขึ้น เนื่องจากมีการใช้จ่ายต่อเดือนสูงและมีอัตราหนี้เสียที่ต่ำกว่ากลุ่มที่มีรายได้ต่ำกว่า 30,000 บาท

2.เน้นช่องทางออนไลน์ในการเข้าถึงลูกค้ากลุ่มคนรุ่นใหม่ ทั้งเว็บไซต์ www.ktc.co.th โมบาย แอพฯ “TapKTC” และ QR Code รวมถึงจะร่วมมือกับพันธมิตรธุรกิจที่เป็นสื่อกลางในการรับสมัครบัตรเครดิตและสินเชื่อบุคคลผ่านออนไลน์ให้มากยิ่งขึ้น  3.ใช้ช่องทางสาขาของธนาคารกรุงไทยและตัวแทนขาย (Outsource Sales) ที่กระจายอยู่ทั่วประเทศ เป็นช่องทางหลักในการขยายฐานสมาชิก และ 4.ใช้โปรแกรมและแคมเปญการตลาดที่น่าสนใจและหลากหลายของเคทีซีกระตุ้นความสนใจผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายให้มาสมัครเป็นลูกค้า

ในปี 61 บริษัทมีเป้าหมายเติบโตของธุรกิจร้านค้าผ่านช่องทางออนไลน์มากยิ่งขึ้น เพิ่มทางเลือกใหม่ให้แก่ร้านค้าในการรับชำระค่าสินค้าและบริการที่หลากหลาย นำเสนอบริการ KTC Payment Solutions ที่เหมาะสมกับประเภทธุรกิจของคู่ค้า และขยายตลาดเจาะร้านค้าขนาดกลางและขนาดเล็ก โดยใช้ QR Code Payment ในการขับเคลื่อน ซึ่งมีความคล่องตัวและช่วยให้ร้านค้าบริหารต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตอบโจทย์สังคมไร้เงินสด พร้อมทั้งนำเสนอ Alipay O2O (Online to Offline) Payment ให้กับร้านค้าในหลายธุรกิจ เพื่อเร่งขยายจุดรับชำระค่าสินค้าและบริการตามแหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมจากกลุ่มนักท่องเที่ยวจีน ทั้งดิวตี้ฟรี ช้อป ร้านอาหาร จิวเวลรี่ เครื่องสำอาง

นายชุติเดช ชยุติ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารอาวุโส-คอร์ปอเรท ไฟแนนซ์ KTC กล่าวว่า มีการคาดการณ์ว่าแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยอาจจะปรับตัวสูงขึ้นในปีหน้า สำหรับกลยุทธ์การบริหารด้านการเงินของเคทีซีในปี 61 บริษัทจะยังคงมุ่งเน้นให้ธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืนและมีเสถียรภาพ โดยจะบริหารต้นทุนเงินให้เกิดประโยชน์สูงสุด ทั้งการหาต้นทุนที่ต่ำและเพิ่มสัดส่วนของเงินกู้ระยะยาวมากขี้น รวมทั้งมีแผนจะออกหุ้นกู้ในระยะยาวกว่าเดิม เพื่อทดแทนหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดในปีหน้า

ส่วนการตั้งสำรองของบริษัทฯ ตามแนวทางของมาตรฐานบัญชี IFRS 9 ทางบริษัทที่ปรึกษาได้สอบทานโมเดลที่ใช้ในการคำนวณสำรองว่าสอดคล้องกับหลักการและเป็นไปตามแนวทางของมาตรฐาน IFRS 9 แล้ว ดังนั้นในสิ้นปี 60 บริษัทจะปรับตัวเลขการตั้งสำรองในส่วนต่างๆ ให้เพียงพอตาม IFRS9 และพร้อมที่จะปฏิบัติตามมาตรฐาน โดยคาดว่าไม่มีผลกระทบที่มีนัยสำคัญในต้นปี 62 ที่บริษัทจะนำมาตรฐานฉบับดังกล่าวมาถือปฏิบัติ

นอกจากนี้ บริษัทยังพร้อมรับชำระเงินและจ่ายเงิน (Bill Payment) ผ่านระบบพร้อมเพย์ในสิ้นปี 60 และมีแผนเข้าร่วมในโครงการระบบภาษีและเอกสารธุรกรรมอิเล็กทรอนิคส์ (E-tax System) เป็นกลุ่มแรก ซึ่งกรมสรรพากรจะเริ่มนำมาใช้ในเดือนม.ค.61

Back to top button