เพลงของไซเรน
ผู้ชำนาญการเรื่องตลาดหุ้นให้ข้อสังเกตว่า ยามนี้ เสียง "เชียร์แขก" ของนักวิเคราะห์ที่โหมประโคมให้นักลงทุนเชื่อกันว่า ดัชนี SET สิ้นปีนี้จะเกิน 1,700 จุด และสิ้นปี 2561 จะเกินกว่า 1,900 จุด ค่อนข้างละม้ายกับเสียงร้องเพลงของบรรดาเหล่านางอัปสรไซเรน ในตำนานเทพปกรณัมของกรีกโบราณหรือไม่ก็ทำนองเดียวกัน
พลวัตปี 2017 : วิษณุ โชลิตกุล
ผู้ชำนาญการเรื่องตลาดหุ้นให้ข้อสังเกตว่า ยามนี้ เสียง “เชียร์แขก” ของนักวิเคราะห์ที่โหมประโคมให้นักลงทุนเชื่อกันว่า ดัชนี SET สิ้นปีนี้จะเกิน 1,700 จุด และสิ้นปี 2561 จะเกินกว่า 1,900 จุด ค่อนข้างละม้ายกับเสียงร้องเพลงของบรรดาเหล่านางอัปสรไซเรน ในตำนานเทพปกรณัมของกรีกโบราณหรือไม่ก็ทำนองเดียวกัน
ตามเทพปกรณัมนั้น เล่ากันว่า นางไซเรนเป็นธิดาของเทพประจำแม่น้ำอะเคอะโลอัสกับเทพธิดามิวส์ จึงมีฐานะเป็นนางอัปสรประจำแม่น้ำ มีจำนวนไม่แน่นอน แต่ถูกเทวีดีมีเทอร์สาปให้มีรูปร่างเป็นครึ่งคนครึ่งนก และต้องหลบเร้นไปอยู่ตามหินโสโครกแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เมื่อใครเดินเรือผ่าน เหล่านางอัปสรนี้ก็จะขับร้องบทเพลงด้วยน้ำเสียงที่หวานไพเราะจับใจ จนผู้ได้ฟังเคลิบเคลิ้ม ลืมสิ้นทุกสิ่ง ลืมตัว ลืมบ้านเกิดเมืองนอน ลืมภาระหน้าที่ รู้อย่างเดียวว่าจะต้องไปหาผู้ที่ขับขานนั้นให้ได้ แล้วก็จะโดดลงจากเรือ ว่ายน้ำไปหานางไซเรน แล้วก็ถูกจับกิน หรือไม่ก็ว่ายน้ำไปแล้วก็หลงใหลได้ปลื้มกับเสียงนั้น ไม่เป็นอันกินอันนอนจนขาดใจตาย
แล้วในตำนานก็มีเรื่องเล่าต่อว่า เหล่านางอัปสรไซเรนนี้จะต้องถึงแก่ชีวิต หากมีมนุษย์ผู้ใดรอดชีวิตมาได้หลังฟังบทเพลงของนาง ซึ่งมีอยู่สองครั้งคือ เจสันกับพรรคพวกที่เดินทางไปเสาะหาขนแกะทองคำ และเมื่อโอดิสซุสกับลูกเรือ ทำให้เหล่านางไซเรนจึงกลายเป็นหิน ยกเว้นนางเดียวคือ พาร์เธโนเพ
ตลาดหุ้นและตลาดเก็งกำไรในปัจจุบัน เหล่านางไซเรนร่วมสมัย ก็คือบรรดานักวิเคราะห์ผู้เปรื่องปราดทั้งหลายนั่นเอง
ก่อนเปิดตลาดเช้าวานนี้ นักวิเคราะห์เกือบทุกสำนักในตลาดหุ้นไทย บอกว่า การท่าดัชนี SET ของตลาดหุ้นไทยห่างจากแนวต้านสำคัญ 1,700 จุดเพียงแค่ 12 จุด ไม่ใช่เรื่องยากเลยที่จะทำให้ดัชนีทะลุยืนเหนือ 1,700 จุดภายในสิ้นปีนี้ เพราะต่างชาติยังจะเข้ามาอีกมากมาย
สถานการณ์ซื้อขายจริงวานนี้กลับไม่เป็นดังคาด เพราะการแกว่งตัวในกรอบแคบ หลังจากที่ทะยานขึ้นแรงวันก่อนหน้านี้ พร้อมกับวอลุ่มเทรดก็หดหายไปบางส่วน สะท้อนว่านักลงทุนต่างชาติมีคำสั่งซื้อไม่ต่อเนื่อง ทำให้ตลาดฯเดินหน้าต่อไปไม่ได้ ซุ่มเสียงนักวิเคราะห์บางส่วนก็ยังมีอาการแปร่งไป
บางส่วนยกเหตุผลมาอ้างว่า หากมองที่ MSCI Thailand ขณะนี้มีการเทรด P/E ที่สูงถึง 15.1 เท่า ซึ่งทำ New High นับตั้งแต่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจ ดังนั้นก็จะมีแรงขายทำกำไรออกมา เนื่องจากตลาดฯเล่นเทรด P/E ที่สูงแล้ว อีกทั้งผลประกอบการงวดไตรมาส 3 ก็ยังไม่ออกมา ถือว่าดัชนีมาไกลล่วงหน้าไปมากแล้ว ดังนั้นโอกาสจะผ่าน 1,700 จุด คงจะยากเหมือนกัน
เพียงแต่ก็ยังคงมีผู้เปรื่องปราดอีกไม่น้อยที่ยังคงเชื่อมั่นว่า การแกว่งตัวดังกล่าวเป็นการ “ย่อตัวลง เพื่อจะขึ้นต่อ”
วาทะกรรมที่ย้อนแย้งของไซเรนร่วมสมัยในตลาดหุ้นไทยยามนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ โดยเฉพาะในช่วงเวลาหลังหรือก่อนเหตุการณ์ใหญ่จะเกิดขึ้น ที่ส่งผลต่อทิศทางของตลาดให้ผันผวนรุนแรง
การแกว่งตัวของดัชนีตลาดในกรอบจำกัดตามแรงเก็งกำไรหุ้นรายตัว เพื่อฆ่าเวลา ท่ามกลางมูลค่าการซื้อขายเบาบางลง และไม่สามารถผ่านแนวต้านสำคัญขึ้นไปได้ เพราะยังไร้ปัจจัยใหม่มาขับเคลื่อน
ในยามที่ขาดปัจจัยภายในอย่างผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน ตัวแปรสำคัญที่ขับเคลื่อนภายนอกตลาดคือ ค่าเงินที่ผันผวน หรือ ตัวแปรทั้งบวกและลบเช่น
– ตัวเลขของการส่งออกของในฐานะหัวขบวนขับเคลื่อนเศรษฐกิจหลักของประเทศ
– ความกังวลเกี่ยวกับปัญหาความขัดแย้งทั้งในระดับโลก เช่น ตะวันออกกลางและคาบสมุทรเกาหลี
– สถานการณ์หนี้ทั่วโลกที่สูงถึง 315% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมทั่วโลก ซึ่งอาจนำมาสู่ปัญหาทางด้านเศรษฐกิจที่รุนแรงและส่งผลต่อกำลังซื้อของโลก
– พฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปทำธุรกรรมผ่าน e-Commerce ซึ่งจะทำให้ยอดขายสินค้าผ่านช่องทางจัดจำหน่ายสินค้าดั้งเดิมลดลงต่อเนื่อง
ในยามที่ตลาดซึมยาวแบบไซด์เวย์แบบหลายเดือนที่ผ่านมา มุมมองของนักวิเคราะห์หุ้นส่วนใหญ่ระบุใกล้เคียงกันในเชิงลบมากกว่าบวก มองว่ามูลค่าการซื้อขายของตลาดจะยังคงซึมลงไปอีกในระยะหนึ่ง จนกว่าดัชนีปรับตัวลงมาถึงแนวรับสำคัญสุด จะเป็นโอกาสในการเข้าซื้อรอบใหม่ทันที แต่ในยามขาขึ้นของตลาดเมื่อใด จะมีมุมมองอีกแบบหนึ่งทันที
ตัวแปรเรื่องของสภาพคล่องในตลาด ฟันด์โฟลว์ของต่างชาติจะยังมีความหมายมากเป็นพิเศษ หากต่างชาติเข้ามาซื้อสุทธิน้อยมาก ตลาดยังแกว่งตัวและชะลอตัวอยู่ในกรอบแคบๆ เพราะรอดูปัจจัยใหม่ๆ ที่เข้ามา ทำให้มูลค่าการซื้อ-ขายในแต่ละวันจะไม่คึกคักหรือถึงระดับเบาบาง โดยมีปัจจัยต่างประเทศที่ต้องติดตาม
สถานการณ์อึมครึมเฉพาะหน้า ที่ทำให้เกิดวาทะกรรมว่า ตลาดจะมีทิศทางแบบไหน ระหว่าง “จะขึ้นเพื่อลง” หรือ “ลงเพื่อจะขึ้น” จึงยังเป็นความอึดอัดที่ต้องผ่านกระบวนการทดสอบ
นักลงทุนรายย่อยที่กำลังเริ่มทบทวน กังวลกับสถานการณ์ว่าจะเป็น ชาวสวน หรือ ชาวดอย หรือ ชาวไล่ กันดี ในห้วงเวลาที่ยังไม่สามารถบอกทิศทางได้ชัดเจน คงต้องทนฟังเพลงของนางไซเรนที่เริ่มประสานกันอีกระยะหนึ่ง ซึ่งไม่รู้ว่าอีกนานแค่ไหน
จนกว่าเกิดภาวะ “ทะลุทะลวง” หรือ breaking down ในทางใดทางหนึ่งเสียก่อน