พาราสาวะถี

อรชุน

วันนี้จนถึงเที่ยงคืนเป็นวันสุดท้ายที่จะเปิดให้ประชาชนได้เข้ากราบถวายบังคมพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ก่อนที่สำนักพระราชวังจะปิดเพื่อเตรียมการพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ ตลอดระยะเวลาเกือบ 1 ปีที่ผ่านมา คนไทยจากทั่วสารทิศต่างมุ่งหน้าไปยังพระบรมมหาราชวัง เพื่อแสดงความจงรักภักดีครั้งสุดท้าย และน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณอันหาที่สุดมิได้

จากนี้ไปในส่วนพื้นที่มณฑลพิธีท้องสนามหลวงและบริเวณโดยรอบกรุงเทพมหานครจะเข้าไปจัดเตรียมพื้นที่เพื่องานพระราชพิธีอันยิ่งใหญ่สมพระเกียรติ ขณะเดียวกันในต่างจังหวัดที่เห็นและเป็นการร่วมมือร่วมใจกันของคนไทยทั้งประเทศก็คือ การร่วมปลูกดอกไม้สีเหลืองสารพัดสายพันธุ์ โดยมุ่งหวังให้บานสะพรั่งส่งในหลวงรัชกาลที่ 9 เสด็จสู่สวรรคาลัย ในวันพระราชพิธีสำคัญ 26 ตุลาคมนี้

ไม่ต้องนั่งตีความกันไปต่างๆ นานากับคำพูดของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ไปบอกกับ โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าจะประกาศวันเลือกตั้งของประเทศไทยในปีหน้าทั้งๆ ที่ผู้นำสหรัฐอเมริกาไม่ได้ถาม ตกลงแล้วเป็นเรื่องของการประกาศวันเลือกตั้งไม่ใช่การยืนยันว่าการเลือกตั้งจะเกิดขึ้นในปีหน้าใช่หรือไม่ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ มีคำตอบในเรื่องนี้ไว้ชัดเจน

บิ๊กป้อมระบุว่า สิ่งที่พลเอกประยุทธ์ไปป่าวประกาศกับผู้นำสหรัฐฯ และในงานเลี้ยงกับนักธุรกิจมะกันนั้น เป็นเพียงกรอบเวลาของการเลือกตั้งที่จะต้องเกิดขึ้นภายใน 150 วันหลังจากที่ร่างกฎหมายอันเกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งทั้ง 4 ฉบับมีผลบังคับใช้ ดังนั้น จึงไม่ใช่การประกาศว่าจะจัดการเลือกตั้งขึ้นภายในปีหน้าแต่อย่างใด

อย่างที่บอกว่านี่คือลูกเล่นหรือเกมการเมืองอย่างหนึ่ง ซึ่งไม่แน่ใจว่าที่สหรัฐฯ จะเรียกอะไร แต่ในประเทศไทยว่ากันว่าเป็นวิธีการแบบศรีธนญชัย ขณะเดียวกัน ประเด็นว่าด้วยโรดแมปเลือกตั้งก็คือสิ่งที่ผู้นำไทยในนามหัวหน้าคสช.ได้ถือเป็นวาระสำคัญที่จะนำไปบอกกล่าวยืนยันกับผู้นำประเทศมหาอำนาจของโลก นั่นจึงไม่แปลกที่จะมีการรีบออกตัวว่าบอกเขาไปทั้งๆ ที่ไม่ได้ถาม

อย่างไรก็ตาม ปัจจัยตัวแปรนอกเหนือจากร่างกฎหมายอันเกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งที่วันนี้เหลืออยู่ 2 ฉบับ ที่กรธ.กำลังเริ่มดำเนินการ ก่อนจะส่งต่อไปให้สนช.เคาะ ยังมีประเด็นที่ต้องประเมินเพื่อนำไปสู่การเลือกตั้งที่สงบราบคาบด้วย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความเรียบร้อยของสถานการณ์ภายในประเทศ และการจัดการปัญหาต่างๆ ของรัฐบาลที่หวังว่าจะปฏิรูปกันให้เสร็จสรรพเรียบร้อย

หากทุกอย่างยังไม่เป็นไปตามที่หวังหรือตามความประสงค์ของแป๊ะ การหาเหตุเพื่อลากยาวอำนาจออกไปย่อมเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา กรณีที่พลเอกประยุทธ์ไปบอกนักธุรกิจไทยและเทศที่สหรัฐฯ ในงานเลี้ยงอาหารค่ำว่า คนไทยกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ไม่เดือดร้อนกับการรัฐประหารนั้น ต้องถามกลับไปว่าไม่เดือดร้อนในแง่ของการต่อต้านเพราะเห็นว่าสิ่งที่ทำอยู่มันดีหรือไม่เคลื่อนไหวต่อต้านเพราะถูกกฎหมายเบ็ดเสร็จเด็ดขาดกดทับเอาไว้

หรือถ้าจะบอกว่าสิ่งที่พูดไปนั้นมันเป็นความจริง ก็ต้องหันกลับมาสำรวจสภาพภายในประเทศของตัวเองว่า ตั้งแต่การรัฐประหารมากว่า 3 ปีชีวิตความเป็นอยู่ของคนในประเทศดีขึ้นไม่ต้องถึงขั้นผิดหูผิดตา เอาแค่ว่า ไม่ลำบากยากแค้นจริงหรือไม่ ตัวเลขทางเศรษฐกิจที่โหมประโคมกันมาโดยตลอดนั้น หาใช่คำตอบในโลกแห่งความเป็นจริงไม่

ทั้งนี้ ผลสำเร็จแห่งการไปเยือนสหรัฐฯ ของพลเอกประยุทธ์จะชี้วัดได้ก็ต่อเมื่อท่านผู้นำเดินทางกลับมายังประเทศไทยแล้ว ประการหนึ่งคือต้องจับตาถ้อยแถลงหรือประกาศใดๆ จากฝ่ายโน้นว่า ผลการพบปะหารือกับผู้นำจากประเทศไทยของเดอะโดนัลด์ เกิดความร่วมมือระหว่างกันในด้านใดบ้าง และเป็นไปตามที่ทางฝ่ายไทยได้แถลงชี้แจงก่อนหน้านั้นหรือไม่

เหตุที่ต้องจับตามอง เพราะหลายครั้งจะเห็นได้ชัดว่าในยามที่ผู้นำคสช.ของไทยไปปรากฏกายในต่างแดน มักจะได้รับการต้อนรับอย่างดียิ่งในฐานะอาคันตุกะ ขณะเดียวกันการพูดคุยก็เป็นไปด้วยมิตรไมตรีที่ดี แต่พอคล้อยหลังเท่านั้น ประเทศต่างๆ จะออกแถลงการณ์หรือแถลงข่าวโจมตีรัฐบาลที่มาจากการรัฐประหารในแบบทันทีทันใด

หากไม่เกิดขึ้นก็ต้องถือว่าเป็นไปตามที่พลเอกประวิตรพูดไว้ว่า สหรัฐฯ เชื่อมั่นประเทศไทยและรัฐบาลที่มาจากการรัฐประหาร ประการต่อมาที่ต้องดูว่าผลสำเร็จของการเยือนครั้งนี้เป็นคุณกับประเทศไทยหรือไม่ คือ ต้องไปดูว่าเราได้อานิสงส์อะไรจากการเจรจา การทำมาค้าขายเราได้รับประโยชน์มากขนาดไหน หรือในทางกลับกัน เราจะต้องซื้ออะไรจากสหรัฐฯ มากน้อยเพียงใดหรือไม่

เพราะสิ่งที่จะปรากฏหลังการเดินทางไปเยือนพี่เบิ้มแห่งโลกประชาธิปไตยของผู้นำรัฐประหารจากไทยแลนด์ จะเป็นบทพิสูจน์ในคำพูดของบิ๊กตู่ที่ว่าโดนัลด์ ทรัมป์เป็นเพื่อนแท้ของประเทศไทย และสิ่งที่ท่านผู้นำมองเห็นและสัมผัสได้คือพูดเพราะ ปากหวานและจริงใจนั้น เป็นความจริงไม่ใช่การเล่นละครตามบทมารยาททางการทูต

พูดตรงกันทั้ง พลตำรวจเอกจักรทิพย์ ชัยจินดา และ พลตำรวจเอกศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล ว่า ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร พำนักอยู่ที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ โดยเดินทางออกจากนครดูไบไปตั้งแต่วันที่ 11 กันยายนที่ผ่านมา เป็นความคืบหน้าล่าสุด แต่คนก็ไม่ได้คาดหวังว่ากระบวนการจากนี้ไปของทางการไทยจะนำตัวอดีตนายกฯหญิงมาดำเนินคดีได้อย่างไร

แน่นอนว่า แม้จะอ้างแหล่งข่าวจากทางการของต่างประเทศ แต่คนจะเชื่อและทุกอย่างจะกระจ่างก็ต่อเมื่อเห็นภาพของยิ่งลักษณ์ที่เป็นปัจจุบันและยืนยันหลักแหล่งที่ชัดเจนได้เท่านั้น มันคงยากที่ทางการไทยจะมีรายละเอียดดังว่า ดังนั้น สิ่งเดียวที่จะทำให้ทุกอย่างเคลียร์ คือ การยืนยันสถานะด้วยตัวของยิ่งลักษณ์เอง ซึ่งตรงนี้ไม่มีใครบอกได้ว่า อดีตนายกฯหญิงจะแสดงท่าทีใดๆหรือไม่และเมื่อไหร่ แต่การข่าวจากเครือข่ายชินวัตรรายงานว่าเร็วๆ นี้ทุกอย่างจะมีคำตอบ