ช้อปหุ้น Laggards 4 กลุ่มดาวเด่น
เป็นเวลาเพียงเดือนเศษๆ เท่านั้น ที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับขึ้นต่อเนื่องจนเข้าใกล้ 1,700 จุด นับเป็นการปรับตัวขึ้นอย่างแรงและเร็วเกินไปสำหรับช่วงดังกล่าว ดังนั้นช่วงต่อจากนี้ดัชนีอาจจะเข้าสู่ช่วงพักฐานอีกพักหนึ่ง เพราะยังต้องเผชิญแนวต้าน 1,700 จุด
เส้นทางนักลงทุน
เป็นเวลาเพียงเดือนเศษๆ เท่านั้น ที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับขึ้นต่อเนื่องจนเข้าใกล้ 1,700 จุด นับเป็นการปรับตัวขึ้นอย่างแรงและเร็วเกินไปสำหรับช่วงดังกล่าว ดังนั้นช่วงต่อจากนี้ดัชนีอาจจะเข้าสู่ช่วงพักฐานอีกพักหนึ่ง เพราะยังต้องเผชิญแนวต้าน 1,700 จุด
ทั้งนี้จึงยังคงแนะนำลงทุนในหุ้น Laggards โดยเลือกหุ้นรายตัวที่มีแนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 3/60 และครึ่งหลังของปี 60 เติบโตโดดเด่น
กลยุทธ์เลือกหุ้น Laggards กลุ่มโรงพยาบาล (LPH) กลุ่มค้าปลีก-ค้าส่ง (BJC, HMPRO, TNP,BEAUTY, COM7) กลุ่มท่องเที่ยว-โรงแรม หุ้น (ERW,MINT) กลุ่มบันเทิง (PLANB, VGI)
สำหรับกลุ่มโรงพยาบาล มีปัจจัยหนุนทั้งในระยะสั้น คือไตรมาส 3/60 เข้าสู่ช่วง High Season ตามฤดูกาล การปรับเพิ่มค่ารักษาของประกันสังคม (ทั้งแบบเหมาจ่าย และกรณีกลุ่มวินิจฉัยโรคร่วมตามความรุนแรงของโรค (DRG) ) มีผลตั้งแต่ 1 ก.ค. 60 รวมทั้งยังเพิ่มค่ารักษาทางทันตกรรม) ผู้ป่วยตะวันออกกลางกลับมามากขึ้น (นักท่องเที่ยวตะวันออกกลางเพิ่มมากขึ้น) และโรคไข้หวัดใหญ่ที่ระบาดมากกว่าปกติ (ฤดูฝนในปีนี้ที่มาเร็วกว่าปกติ)
ในระยะยาว คือ การเปิด Excellent Center การเพิ่มสัดส่วนผู้ป่วยเงินสด การสร้างโรงพยาบาลใหม่ และการขยายหรือต่อยอดธุรกิจ โดยหุ้นแนะนำลงทุนในหุ้น LPH ราคาเป้าหมาย 11.30 บาท จากแนวโน้มผลประกอบการที่คาดว่าจะฟื้นตัวแข็งแกร่งในช่วงครึ่งปีหลัง สนับสนุนด้วยการเปิด Excellent Center ที่ช่วยเพิ่มสัดส่วนผู้ป่วยเงินสด ประกอบกับ LPH จะมีกำไรจากการขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างที่จะโอนสิทธิและรับรู้กำไรพิเศษในไตรมาส 4/60 และไตรมาส 1/61 โดย Upside ปัจจุบันที่มีอยู่ 32.9% และยังมี PEG ที่อยู่ในระดับต่ำเพียง 1.9 เท่า
ขณะที่หุ้นกลุ่มค้าปลีก คาดว่าดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (CCI) เดือน ก.ย. 2560 ที่จะประกาศวันนี้น่าจะฟื้นตัวได้ต่อเนื่องจากสภาพแวดล้อมที่ดีขึ้นโดยเฉพาะดัชนีชี้นำเศรษฐกิจที่ดีขึ้น ทั้งการลงทุนเอกชนข้างต้น การส่งออก และการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา สอดคล้องกับการฟื้นตัวของผู้ประกอบการในกลุ่มค้าปลีก-ค้าส่ง โดยเฉพาะการเติบโตยอดขายสาขาเดิม (SSSG) ในช่วงเดือน ก.ค.-ก.ย. มีแนวโน้มที่ดีขึ้น ทั้ง BJC, HMPRO, TNP
และกลุ่มที่ SSSG ยังโตต่อเนื่อง คือ BEAUTY และ COM7 คาดเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง 10%-15% จากงวดเดียวกันของปีก่อน จากเพิ่มขึ้นราว 12% จากงวดเดียวกันของปีก่อนในไตรมาส 2/60 ยกเว้น MAKRO และ ROBINS น่าจะมียอดขายสาขาเดิมหดตัว แต่เป็นอัตราที่น้อยลง ทั้งนี้ คาดว่ายอดขายสาขาเดิมจะฟื้นตัวต่อเนื่องในงวดไตรมาส 4/60 ต่อเนื่องจากไตรมาส 3 ที่ฟื้นตัวดังกล่าวข้างต้น
ยังชอบหุ้นที่มี SSSG กลับมาเติบโตเร็วกว่าผู้ประกอบการในกลุ่มเดียวกัน และกำไรที่ยังเติบโตโดดเด่นในปี 2560 ต่อเนื่องถึง 2561 แต่เนื่องจากราคาหุ้นส่วนใหญ่เกิน Fair Value ปี 2560 จึงให้ข้ามไปใช้ Fair Value ปี 2561 อาทิ BEAUTY ราคาเป้าหมาย 20 บาท ส่วน BJC ราคาเป้าหมาย 60 บาท และ COM7 ราคาเป้าหมาย 19 บาท
ด้านกลุ่มท่องเที่ยว-โรงแรม โดยแนวโน้มท่องเที่ยวไทยครึ่งหลังของปี 60 คาดสดใสต่อเนื่อง เห็นได้จากตัวเลขเดือน ก.ค. 2560 มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาไทยเพิ่มขึ้น 5% จากงวดเดียวกันของปีก่อน และต่อเนื่อง 8.7% จากงวดเดียวกันของปีก่อน ในเดือน ส.ค. ทำให้ 8 เดือนแรก นักท่องเที่ยวต่างชาติรวมเพิ่มขึ้น 5% จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่ 23.5 ล้านคน หนุนโดยนักท่องเทียวจีน และนักท่องเที่ยวรัสเซีย
คาดภาพรวมการท่องเที่ยวไทยครึ่งหลังของปี 60 โดยเฉพาะไตรมาส 4/60 จะเติบโตในอัตราเร่งมากขึ้น เนื่องจากปีก่อนมีฐานต่ำจากผลกระทบจากการปราบปรามทัวร์ศูนย์เหรียญฯ และช่วงไว้อาลัยเดือน ต.ค. ขณะที่ปีนี้ปัญหาทัวร์ศูนย์เหรียญฯ คลี่คลายลง ทำให้ทั้งปี 2560 ประเมินยอดนักท่องเที่ยวต่างชาติรวมไว้ที่ 34.5 ล้านคน เติบโต 6% จากงวดเดียวกันของปีก่อน
สอดคล้องกับผลประกอบการของหุ้นกลุ่มฯ จะเติบโตเป็นขั้นบันไดอย่างน้อย 3 ไตรมาสนับจากนี้ คือไตรมาส 3/60 ต่อเนื่องไตรมาส 4/60 ที่เป็น High Season และ Peak Season ในไตรมาส 1/61 โดยอาการของหุ้น ERW และ MINT เริ่มปรับฐาน จึงเป็นโอกาสในการเข้าสะสม โดย ERW ราคาเป้าหมาย 7.50 บาท และ MINT ราคาเป้าหมาย 46 บาท มีแนวโน้มกำไรเติบโตมากสุด โดย ERW คาดปี 2560 คาดกำไรปกติเติบโต 38% จากงวดเดียวกันของปีก่อน ส่วน MINT คาดปี 2560 กำไรปกติเติบโต 17% จากงวดเดียวกันของปีก่อน
นอกจากนี้มีกลุ่มบันเทิง เม็ดเงินโฆษณาเดือน มิ.ย.-ก.ค. กระเตื้องขึ้น จากการเร่งโหมโฆษณาในช่วงก่อนที่จะเข้าสู่งานพระราชพิธีสำคัญในเดือน ต.ค. และเชื่อว่าเม็ดเงินโฆษณาน่าจะเพิ่มในอัตราเร่งในเดือน พ.ย. – ธ.ค. ทำให้เม็ดเงินโฆษณาโดยรวมในไตรมาส 4/60 น่าจะฟื้นตัวจากงวดไตรมาส 4/59
ภาพรวมเม็ดเงินโฆษณาปี 2560 คาดว่าจะหดตัวไม่ถึง 10% อย่างที่ประเมินกันไว้ ทั้งนี้ เชื่อว่า สื่อโฆษณานอกบ้านน่าจะได้รับผลกระทบเดือน ต.ค. ไม่มากนัก ทำให้ฝ่ายนักวิเคราะห์ยังชอบ PLANB ราคาเป้าหมาย 6.70 บาท จากสื่อนอกบ้านที่น่าจะมีแนวโน้มสดใสในงวดครึ่งหลังของปี 60 ส่วนปี 2561 จะเข้าประมูลงานโฆษณาบนรถประจำทางกับหน่วยงานราชการ
ทั้งยังเป็นพันธมิตรกับบริษัทย่อยของ BEM ช่วยต่อยอดการเติบโตในอนาคตจากการเปิดให้บริการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินส่วนต่อขยาย และยังได้สิทธิในการบริหารลิขสิทธิ์ของสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยตั้งแต่ปี 2559-2563 แต่ราคาปรับขึ้นแรง จน upside เหลือเพียง 1.52% จึงแนะนำสลับไปลงทุนใน VGI ราคาเป้าหมาย 6.8 บาท ที่มีจุดแข็งจากการให้บริการสื่อโฆษณาบนรถไฟฟ้า BTS (60% ของรายได้รวม) และสื่อโฆษณากลางแจ้งที่หลากหลายและครบวงจร (ผ่านการถือหุ้น MACO 37%)
หนุนผลประกอบการครึ่งหลังของปี 60 โดดเด่น ส่วนในปี 2561 จะได้รับแรงหนุนจากการเปิดให้บริการรถไฟฟ้าสีเขียวส่วนต่อขยาย (แบริ่ง-สมุทรปราการ) และในปี 2563 จากรถไฟฟ้าสีเขียวส่วนต่อขยาย (หมอชิต-สะพานใหม่-คูคต), สายสีเหลือง และ สายสีชมพู ที่จะเสร็จพร้อมให้บริการ และมี upside อีกกว่า 19.3%
นี่เป็นเพียงตัวเลือกจากบทวิเคราะห์ บล.เอเซีย พลัส เพื่อเป็นแนวกลยุทธ์การลงทุนในยามดัชนีอาจจะเข้าสู่ช่วงพักฐาน