เปิดโผหุ้นวิ่งแรงในรอบ 9 เดือน โชว์ 6 หุ้นโกยรีเทิร์นเกิน 100%
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ SET ในรอบ 9 เดือนที่ผ่านมาปรับตัวขึ้น 8.44% โดยเทียบจากดัชนียืนอยู่ที่ระดับ 1542.94 จุด (30 ธ.ค. 59) มาอยู่ที่ระดับ 1673.16 จุด ( 29 ก.ย.60) บวกไป 130.22 จุด โดยปัจจัยที่เข้ามาหนุนให้ภาวะตลาดปรับตัวขึ้นอย่างร้อนแรง
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ SET ในรอบ 9 เดือนที่ผ่านมาปรับตัวขึ้น 8.44% โดยเทียบจากดัชนียืนอยู่ที่ระดับ 1542.94 จุด (30 ธ.ค. 59) มาอยู่ที่ระดับ 1673.16 จุด ( 29 ก.ย.60) บวกไป 130.22 จุด โดยปัจจัยที่เข้ามาหนุนให้ภาวะตลาดปรับตัวขึ้นอย่างร้อนแรง เนื่องจากมีปัจจัยบวกเข้ามาหนุน อาทิ แนวโน้มเศรษฐกิจที่เร่งตัวใน 1-3 ปีข้างหน้า บวกกับการเมืองมีเสถียรภาพ หนุนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน และพัฒนาโครงการ EEC มีความต่อเนื่อง ขณะเดียวกันแรงซื้อเก็งกำไรในหุ้นรายตัวที่คาดว่าผลงานไตรมาส 3/60 จะออกมาดียิ่งดันให้ดัชนีขึ้นไปทดสอบระดับสูงสุดในรอบ 23 ปี
ดังนั้น“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” จึงทำการสำรวจราคาหุ้นของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในตลาดหลักทรัพย์ SET ในรอบ 9 เดือนที่ผ่านมา โดยครั้งนี้คัดเลือกราคาหุ้นที่ปรับตัวขึ้นแรงตั้งแต่ระดับ 50% ไปจนถึงระดับเกิน 100% มานำเสนอ โดยครั้งนี้มีหุ้นเข้ามาติดในเกณฑ์ดังกล่าว 30 ตัว ประกอบด้วย ASIAN,DIGI,BFIT,ECL,RS,ORI,SYNEX,WORK,AMATA,TKS, COL,BAT-3K,PLE,TCB, IHL,SPI, UV,AH,SGP,SAMTEL, PK,RCI,MACO,TEAM, CM,AMANAH,PM,RCL,DTAC และ IT
อย่างไรก็ตามจะขอนำเสนอข้อมูลหุ้นอันดับต้นๆตารางที่ให้ผลตอบแทนเกิน 100% อาทิ ASIAN,DIGI,BFIT,ECL,RS และ ORI เพื่อประกอบการลงทุนในครั้งนี้
อันดับ 1 บริษัท ห้องเย็นเอเชี่ยน ซีฟู้ด จำกัด (มหาชน) หรือ ASIAN ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นจากระดับ 4.50 บาท(ณ 30 ธ.ค.59) มาอยู่ที่ระดับ 15.90 บาท (29 ก.ย.60) บวกไป 11.40 บาท หรือเพิ่มขึ้น 253.33 % ราคาหุ้นปรับตัวแรงเนื่องจากผลประกอบการที่ออกมาสดใส บวกกับแผนงานธุรกิจที่โดดเด่นและโบรกเกอร์แนะนำให้เข้าลงทุนทำให้หุ้นทะยานขึ้นตลอด 9 เดือนที่ผ่านมา
บริษัทตั้งเป้ารายได้แตะ 1.45 หมื่นล้านบาทภายในปี 63 โดยจะเป็นการเติบโตเฉลี่ยในระดับ 10-12% โดยปรับโครงสร้างรายได้ด้วยการเพิ่มสัดส่วนธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงขึ้นเป็น 28% ของรายได้รวม จากปี 59 อยู่ที่ 20% และธุรกิจจัดจำหน่ายเพิ่มเป็น 7% จากเดิม 5% ส่วนธุรกิจอาหารแช่แข็งจะลดสัดส่วนลงเหลือ 41% จาก 46% ธุรกิจทูน่าลดเหลือ 10% จาก 15% ขณะที่ธุรกิจอาหารสัตว์ยังคงสัดส่วนไว้ที่ 14%
สำหรับเป้าหมายทางธุรกิจในปีนี้ยังคงเป้ารายได้ที่ 1.05 หมื่นล้านบาท เติบโตจากปีก่อนที่มีรายได้ 9.2 พันล้านบาท โดยในช่วงครึ่งปีแรกทำรายได้แล้ว 4.9 พันล้านบาท ขณะที่มองว่าในช่วงครึ่งปีหลังมีปัจจัยบวก ได้แก่ ยอดขายอาหารสัตว์เลี้ยงจะเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง และเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่นของธุรกิจอาหารแช่แข็งและอาหารสัตว์ ส่วนธุรกิจทูน่าและจัดจำหน่ายยังคงมีเสถียรภาพ ส่วนความท้าย คือ เงินบาทที่ยังแข็งค่า และจำนวนฟาร์มเลี้ยงกุ้งที่ต่ำกว่าคาด
อันดับ 2 บริษัท ดิจิตอลเทค แพลนเน็ต จำกัด (มหาชน) หรือ DIGI ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นจากระดับ 0.34 บาท (ณ 30 ธ.ค.59) มาอยู่ที่ระดับ 0.96 บาท (29 ก.ย.60) บวกไป 0.62 บาท หรือเพิ่มขึ้น 182.35% โดยราคาหุ้นปรับตัวขึ้นแรงเนื่องจากเป็นหุ้นขนาดเล็กและง่ายต่อการดันราคา ประกอบกับบริษัทมีแผนธุรกิจที่น่าสนใจยิ่งเป็นปัจจัยหนุนให้ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นแรง
บริษัทเตรียมดันแผนธุรกิจ E-Payment ให้เติบโต หวังเร่งสร้างผลประกอบการให้เป็นไปตามเป้าที่วางไว้ ภายในไตรมาส 3 ดึงกลยุทธ์เจาะกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย พัฒนาระบบหลังบ้านเพื่อรองรับการเติบโตของธุรกิจ เพื่อชิงตำแหน่งเบอร์หนึ่งในตลาด E-Commerce สร้างความแข็งแกร่งให้กับบริษัท
ที่ผ่านมาบริษัทได้ดำเนินธุรกิจเป็นไปตามแผนที่วางไว้ เพื่อบรรลุเป้าหมาย ในการผลักดันแผนธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็น E-Shopping, E- Payment หรือ ธุรกิจพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ที่มีความเกี่ยวข้องกับระบบออนไลน์ หรือดิจิตอล
อันดับ 3 บริษัทเงินทุน ศรีสวัสดิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ BFIT ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นจากระดับ 12.80 บาท (ณ 30 ธ.ค.59) มาอยู่ที่ระดับ 34.75 บาท (29 ก.ย.60) บวกไป 21.95 บาท หรือเพิ่มขึ้น 171.48% ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นแรงนับตั้งแต่บริษัท ศรีสวัสดิ์ พาวเวอร์ 1979 จำกัด (มหาชน) หรือ SAWAD ทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมดของ BFIT
อีกทั้งบริษัทมีมติให้เข้าทำสัญญาบริหารจัดการสินเชื่อกับบริษัท ศรีสวัสดิ์ พาวเวอร์ 2014 จำกัด (ศรีสวัสดิ์ 2014) เพื่อรับบริการบริหารจัดการสินเชื่อแบบมีหลักประกันในด้านต่างๆ จากศรีสวัสดิ์ 2014 เพื่อสนับสนุนแผนการขยายธุรกิจสินเชื่อแบบมีหลักประกันของบริษัท ซึ่งจะครอบคลุมการให้บริการสินเชื่อที่สำคัญ ได้แก่ งานบริการด้านสินเชื่อ ,งานบริการรับชำระหนี้ และงานบริการจัดการหนี้
โดยสัญญาบริหารจัดการสินเชื่อดังกล่าว ครอบคลุมระยะเวลาให้บริการตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค.60 ถึงวันที่ 30 มิ.ย.62 รวมทั้งสิ้น 2 ปี คิดเป็นมูลค่าของสัญญาบริการ 1.89 พันล้านบาท ยิ่งทำให้ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นแรงต่อเนื่อง
อันดับ 4 บริษัท ตะวันออกพาณิชย์ลีสซิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ ECL ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นจากระดับ 1.62 บาท (ณ 30 ธ.ค.59) มาอยู่ที่ระดับ 4.00 บาท (29 ก.ย.60) บวกไป 2.38 บาท หรือเพิ่มขึ้น 146.91% ราคาหุ้นปรับตัวแรงเนื่องจากเป็นหุ้นราคาถูกจึงง่ายต่อการดันราคาจึงทำให้นักลงทุนเข้ามาเก็งกำไรกันอย่างคึกคัก อีกทั้งบทวิเคราะห์แนะนำให้เข้าลงทุนยิ่งทำให้ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นแรง
บล.บัวหลวง ระบุในบทวิเคราะห์ฯแนะ”ซื้อ”หุ้น ECL มองผลประกอบการที่เติบโตแข็งแกร่ง จะเป็นปัจจัยหนุนราคาหุ้นอย่างต่อเนื่อง โดยคาดบริษัทจะรายงานตัวเลขสินเชื่อ 9 เดือน เติบโตสูงถึง 65% นับจากต้นปี หนุนกำไรไตรมาส 3/60 เติบโต 90% จากงวดปีก่อน และ 9% จากไตรมาสก่อน
จากแนวโน้มผลประกอบการที่ดีกว่าคาด จึงปรับกำไรปี 2560 ขึ้น 8% เป็น 140 ล้านบาท เติบโต 135% จากปีก่อน และปรับราคาเป้าหมายปี 2560 ขึ้นเป็น 4.9 บาท (อิง P/E 37 เท่า จากค่าเฉลี่ยในอดีต +1SD) และเบื้องต้นประเมินว่าราคาเป้าหมายปี 2561 จะปรับเพิ่มเป็น 8 บาท ด้วยวิธีการเดียวกัน ปัจจุบันหุ้นเทรดบน P/E 30 เท่าในปี 2560 และจะลดลงเหลือเพียง 17 เท่าในปีหน้า นับว่าไม่แพงเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยกลุ่มที่เทรดบน P/E ราว 18 เท่าในปีหน้าเช่นกัน
อันดับ 5 บริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) หรือ RS ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นจากระดับ 7.80 บาท (ณ 30 ธ.ค.59) มาอยู่ที่ระดับ 18.30 บาท (29 ก.ย.60) บวกไป 10.50 บาท หรือเพิ่มขึ้น 134.62% ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นต่อเนื่องทั้งเรื่องแผนธุรกิจที่โดดเด่น และผลประกอบการครึ่งแรกปีนี้ออกมาสดใสเนื่องจากพลิกมีกำไรจากก่อน ขณะเดียวกันโบรกเกอร์แนะนำให้เข้าลงทุนราคาหุ้นจึงทะยานขึ้นแรงในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา
บริษัทกำลังเข้าสู่ช่วงปรับตัวทางธุรกิจครั้งสำคัญเข้าเป็นประเภทธุรกิจพาณิชย์และค้าปลีก (Consumer Product and Retails) ที่สมบูรณ์แบบมากขึ้น โดยมีธุรกิจสื่อเป็นอีกแกนธุรกิจหลักของกลุ่มอาร์เอส และยังทำหน้าที่สนับสนุนการเติบโตธุรกิจสุขภาพและความงามอีกด้วย ซึ่งมั่นใจว่าเดินมาถูกทางสิ้นปีนี้จะมีรายได้ตามเป้าหมายที่ประกาศไว้ 3.5 พันล้านบาท
นอกจากนั้น บริษัทยังเตรียมปรับผังช่อง 8 ในไตรมาส 3/60 เพื่อเติมความแข็งแกร่งยิ่งขึ้น ซึ่งมั่นใจว่าคอนเทนต์ใหม่จะประสบความสำเร็จผลักดันให้สิ้นปีนี้มีจำนวนสายตาผู้ชม (Eye ball) 5 แสนรายต่อนาที จากปัจจุบัน 3.5 แสนรายต่อนาที
อันดับ 6 บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นจากระดับ 8.00 บาท (ณ 30 ธ.ค.59) มาอยู่ที่ระดับ 18.50 บาท (29 ก.ย.60) บวกไป 10.50 บาท หรือเพิ่มขึ้น 131.25% ราคาหุ้นปรับตัวแรงเนื่องจากหุ้นมีปัจจัยบวกเข้ามาสนับสนุนอย่างต่อเนื่องทั้งในเรื่องแผนงาน และบทวิเคราะห์แนะนำให้เข้าลงทุนยิ่งทำให้หุ้นปรับตัวขึ้นแรง
บริษัทยังคงมั่นใจเป้าหมายยอดขายปีนี้จะเติบโตได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ จำนวน 13,000 ล้านบาท โดยในช่วงครึ่งปีหลังบริษัทมีแผนจะเปิดตัวโครงการใหม่ จำนวน 3-4 โครงการ มูลค่าโครงการรวมประมาณ 6,000-7,000 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันมีที่ดินรองรับการพัฒนาโครงการแล้วทั้งหมด
*ทั้งนี้ข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้น เป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ การตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน