พาราสาวะถี
ขณะที่นักการเมืองอาชีพและพรรคการเมืองที่มีอยู่ในปัจจุบัน ประกาศลดบทบาท งดเคลื่อนไหว พยายามไม่แสดงความเห็นทางการเมืองในช่วงเดือนตุลาคมนี้ แต่คนที่กำลังจะกระโจนเข้าสู่ถนนสายการเมืองเต็มตัวด้วยการตั้งพรรคการเมืองหลังจากที่ผ่านมาเดินบนถนนสายลากตั้งมาโดยตลอดอย่าง ไพบูลย์ นิติตะวัน ก็อาศัยจังหวะเวลานี้ออกมาย้ำจุดยืนเรื่องตั้งพรรคประชาชนปฏิรูปอีกกระทอก
อรชุน
ขณะที่นักการเมืองอาชีพและพรรคการเมืองที่มีอยู่ในปัจจุบัน ประกาศลดบทบาท งดเคลื่อนไหว พยายามไม่แสดงความเห็นทางการเมืองในช่วงเดือนตุลาคมนี้ แต่คนที่กำลังจะกระโจนเข้าสู่ถนนสายการเมืองเต็มตัวด้วยการตั้งพรรคการเมืองหลังจากที่ผ่านมาเดินบนถนนสายลากตั้งมาโดยตลอดอย่าง ไพบูลย์ นิติตะวัน ก็อาศัยจังหวะเวลานี้ออกมาย้ำจุดยืนเรื่องตั้งพรรคประชาชนปฏิรูปอีกกระทอก
คงไม่ต้องไปสนใจใยดีว่าพรรคนี้จะมีนโยบายอะไรเป็นไม้เด็ด แค่ชู พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีต่อ แค่นี้ก็พอจะทำให้เชื่อได้ว่าแม้จะเป็นพรรคเกิดใหม่ แต่ก็น่าจะได้รับคัดเลือกให้ร่วมรัฐบาล หากพรรคมีเสียงส.ส.อยู่ในมือ ก็อย่างที่รับรู้กัน หลังเลือกตั้งครั้งหน้า (คนเก่า) เขามาแน่ และประเทศไทยจะมีนายกฯคนนอกล้านเปอร์เซ็นต์
ประเภทมองโลกสวยสองพรรคการเมืองใหญ่ พรรคหนึ่งพรรคใดจะได้เป็นแกนนำตั้งรัฐบาล อันนั้นเลิกคิดกันไปตั้งแต่เห็นกฎหมายที่เกี่ยวข้องทั้งหมดแล้ว ที่สำคัญพรรคเพื่อไทยคงไร้โอกาสได้กลับมากุมบังเหียนบริหารประเทศในห้วงระยะเวลาอันใกล้นี้ ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ดูจากอาการแทงกั๊กและคนของกปปส.ที่ยังชูคออยู่ในพรรคหน้าสลอน ก็พอมองเห็นทิศเห็นทางแล้วว่า หลังการเลือกตั้งสถานะของพรรคเก่าแก่จะอยู่ในการร่วมรัฐบาลหรือเป็นฝ่ายค้าน
นั่นเป็นสิ่งที่พิจารณาจากหน้าไพ่อันหมายถึงกฎหมายที่บรรดาเนติบริกรประจำคณะรัฐประหารจัดวางกันไว้ ประเทศไทยในปีหน้าคงไม่มีอะไรหนีไปจากที่เห็นและเป็นไปในปัจจุบัน ต่างกันเพียงแค่มีรัฐบาลที่มาจากระบบการเลือกตั้งก็เท่านั้น ส่วนรายนี้ไม่รู้ว่าไปเหยียบตาปลาอะไรกันมา พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ จึงพูดถึง คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ เป็นครั้งที่สองด้วยท่าทีที่ไม่เป็นมิตร
ครั้งแรกว่าด้วยจังหวะก้าวทางการเมืองล้วนๆ หนล่าสุดเป็นเรื่องของการชวนปลูกดอกดาวเรืองแต่มีการติดป้ายชื่อของเจ๊หน่อยในการโฆษณาประชาสัมพันธ์ ซึ่งบิ๊กป้อมเห็นว่าไม่เหมาะสม หากมองเป็นเรื่องการทักท้วงธรรมดาก็คงไม่มีปัญหา แต่หากมองไปยังสายสัมพันธ์อันดีที่มีต่อกันในมิติทางการเมือง คอการเมืองย่อมรู้ดีว่า การเอ่ยถึงกัน ณ วันนี้มันมีอะไรลึกๆแอบแฝงอยู่แน่นอน
ต้องไม่ลืมว่ามีการพูดถึงวงหารือลับที่พี่ใหญ่บูรพาพยัคฆ์มีชื่อเข้าไปเกี่ยวข้อง และมือประสานอันเป็นที่ยอมรับของผู้มีอำนาจในปัจจุบันคือเจ๊คนสำคัญ ดังนั้น จึงจะเห็นท่าทีของฝ่ายกุมอำนาจมองเจ๊เป็นนักการเมืองน้ำดีและน่าสนับสนุน แต่พอเวลาผ่านและยิ่งเขยิบเข้าใกล้โหมดเลือกตั้ง ไฉนท่วงทำนองที่แสดงต่อกันจึงแปรเปลี่ยน เป็นการเปลี่ยนไปแบบมีนัยสำคัญ ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น เอาไว้ถึงเวลาที่เหมาะสมจะสาธยายให้ฟัง
ห้วงเดือนตุลาคมนี้เป็นจังหวะเวลาที่คนไทยใจจดใจจ่อกับงานสำคัญ แต่หากย้อนกลับไปดูประวัติศาสตร์ทางการเมืองเรื่องประชาธิปไตยในเดือนนี้ อย่างที่รู้กันมี 2 เหตุการณ์ที่สำคัญนั่นก็คือ 14 ตุลา 2516 และ 6 ตุลา 2519 แต่รอบนี้จะขอหยิบยกเอาสิ่งที่คนเดือนตุลาอย่าง “หมอเลี้ยบ” นายแพทย์สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี พูดบนเวทีเสวนาในโอกาสครบรอบ 44 ปี 14 ตุลา 16 เมื่อไม่กี่วันก่อนมานำเสนอในมุมที่น่าสนใจ
หมอเลี้ยบบอกว่า คนเดือนตุลาคมเป็นเพียงคนกลุ่มหนึ่งเท่านั้นในสายธารประวัติศาสตร์การเมืองไทย ไม่ได้มีอะไรพิเศษกว่าคนกลุ่มอื่น เราอาจจะลืมไปแล้วว่า บรรยากาศเผด็จการในช่วงก่อนวันที่ 14 ตุลาคม 2516 และหลัง 6 ตุลาคม 2519 เป็นเช่นไร คนรุ่นใหม่ ที่เกิดขึ้นหลังพฤษภาคม 2535 จึงนึกไม่ออก นี่เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้คนรุ่นนี้ต้องการทางลัด ทั้งๆที่การเมืองไม่มีทางลัด เราต้องเรียนรู้ และยึดมั่นในหลักการพื้นฐานประชาธิปไตย เรียนผิดเรียนถูกอย่างต่อเนื่องจะทำให้การเมืองมั่นคงขึ้น
ทุกคนมีความฝัน ตนมีฝัน การเมืองเป็นเรื่องของทุกคน เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่เกี่ยวข้อง โครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าจะเกิดขึ้นไม่ได้ และจะยังเป็นเพียงความฝันไปเรื่อยๆ ถ้าไม่มีการตัดสินใจจากผู้บริหารประเทศ อย่างไรก็ตาม คิดว่า เราควรใช้ประสบการณ์จากคนยุค 2520 คนเดือนตุลาคม ใช้ความรู้ความสามารถจากคนรุ่นยุค 2540 หรือ คนยุคพฤษภาทมิฬ และนำพลังของคนรุ่นใหม่ มาใช้เป็น 3 ประสานสร้างอะไรก็ได้เพื่อนำไปสู่การเมืองใหม่
คสช.บอกว่าจะร่างยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีผูกพันทุกคนจะออกมาในรูปแบบไหนก็ยังไม่ทราบ คิดว่าสิ่งที่ทำได้ในวันนี้ก็คือ พวกเราต้องร่างยุทธศาสตร์ชาติด้วยพวกเราเอง ขึ้นมาเทียบกับฉบับคสช. ประการต่อมาคสช.ประกาศว่าการเลือกตั้งจะเกิดขึ้นในเดือนพฤศจิกายน 2561 ซึ่งต้องช่วยกันให้ทุกอย่างตามปฏิทินนี้เกิดขึ้นจริง ให้สนช.ให้กรธ.ทำตามปฏิทินของตัวเองและช่วยภาวนาให้สุขภาพของคนเหล่านี้แข็งแรง
เราต้องร่วมใจเรียกร้องให้องค์กรทางการเมืองที่มีอยู่ โดยเฉพาะพรรคเพื่อไทยปฏิรูปเป็นสถาบันของประชาชน ให้กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติหรือนปช.ทำงานให้เป็นแนวร่วมของประชาชนที่แท้จริง ถ้าไม่สำเร็จ จะต้องขับเคลื่อนให้มีกลุ่มใหม่ๆเกิดขึ้นให้ได้ด้วยความหวัง เพราะเรามีความสามารถทำได้ทุกอย่าง ยกเว้นอย่างเดียวที่ทำไม่ได้นั่นคือ การยอมก้มหัวให้กับอำนาจที่ไม่เป็นธรรม
บทส่งท้ายของหมอเลี้ยบดูเหมือนว่าจะใช้ได้กับเฉพาะคนเดือนตุลาเพียงบางรายเท่านั้น เพราะนับตั้งแต่ความขัดแย้งก่อตัวขึ้นกว่า 10 ปีที่ผ่านมา ผู้มีอุดมการณ์ด้านประชาธิปไตยจำนวนไม่น้อยได้เผยธาตุแท้ของตนเองออกมาให้สังคมได้เห็นแล้วว่า แท้ที่จริงแล้วศรัทธาอำนาจนอกระบบเพื่อให้ตัวเองมีที่ยืนในสังคม (คนดี) หรือยึดมั่นถือมั่นในระบอบประชาธิปไตยที่ถูกต้องกันแน่
ด้วยเหตุนี้เราจึงไม่ได้เห็นพลังต่อต้านอำนาจเผด็จการอย่างแข็งขันทั้งจากรั้วมหาวิทยาลัย ทั้งที่ในอดีตถือเป็นหัวใจหลักในการขับเคลื่อนเพื่อปฏิเสธอำนาจที่ย่ำยีประชาธิปไตย มิหนำซ้ำ ผู้บริหารบางสถาบันยังนำพาผู้ใต้บังคับบัญชาโค่นล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งหน้าตาเฉย จากปัจจัยเช่นนี้กระมัง ที่ทำให้ผู้มีอำนาจจึงเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งต่อกลไกที่วางไว้เพื่อสืบทอดอำนาจและยุทธศาสตร์ชาติที่วางไว้ยาวนานถึง 20 ปี
แต่อย่างที่บอกไว้อำนาจมีศรัทธาย่อมมีเสื่อมถอย และตัวแปรแห่งความเสื่อมที่เป็นมาทุกยุคทุกสมัยก็หนีไม่พ้นปัจจัยอันมาจากผู้มีอำนาจและองคาพยพที่เกี่ยวข้อง วันนี้ แค่ข่าว ตูน บอดี้สแลม เตรียมจะวิ่งหาเงิน 700 ล้านบาทเพื่อสร้างโรงพยาบาล 10 แห่ง ไม่น่าเชื่อว่าจะสร้างความสั่นสะท้านให้กับผู้มีอำนาจไม่น้อย เพราะเกิดข้อเปรียบเทียบเรื่องการจัดลำดับความสำคัญของงบประมาณ และมันจะพาลไปกระทบต่อความเชื่อมั่นในเรื่องอื่นๆ ตามมาด้วย อยู่ที่ว่าท่านผู้นำและชาวคณะจะมองประเด็นนี้ไปในทิศทางใดเท่านั้นเอง