พาราสาวะถี
วานนี้เป็นวันออกทุกข์วันแรก แต่ประชาชนที่ยังคงคิดถึง พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ต่างก็พากันเดินทางไปกราบสักการะพระบรมราชสรีรางคารในหลวงรัชกาลที่ 9 ทั้งที่พระอุโบสถ วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม และ วัดบวรนิเวศราชวรวิหาร โดยทุกคนต่างกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า ถ้าคิดถึงพระองค์ท่านก็ต้องไปไหว้พระและกราบพระบรมราชสรีรางคารที่วัดทั้งสองแห่ง
อรชุน
วานนี้เป็นวันออกทุกข์วันแรก แต่ประชาชนที่ยังคงคิดถึง พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ต่างก็พากันเดินทางไปกราบสักการะพระบรมราชสรีรางคารในหลวงรัชกาลที่ 9 ทั้งที่พระอุโบสถ วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม และ วัดบวรนิเวศราชวรวิหาร โดยทุกคนต่างกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า ถ้าคิดถึงพระองค์ท่านก็ต้องไปไหว้พระและกราบพระบรมราชสรีรางคารที่วัดทั้งสองแห่ง
นี่คือความผูกพัน ความรักที่คนไทยมีต่อพ่อของแผ่นดินอย่างลึกซึ้งยิ่งใหญ่ เมื่อเป็นเช่นนั้นคงเป็นภาระหน้าที่ของทุกคนที่จะต้องสานต่อพระราชปณิธานตามแนวทางพระราชดำริและกระแสพระราชดำรัสของพระองค์ท่าน โดยเฉพาะเรื่องความสามัคคี ปรองดอง คำถามที่ยังไร้คำตอบเวลานี้ ฝ่ายที่เป็นคู่ขัดแย้งไม่เว้นแม้กระทั่งผู้มีอำนาจปัจจุบัน เลิกทะเลากันแล้วหรือยัง
สถานการณ์น้ำท่วมอย่างที่บอกไว้เป็นเรื่องอ่อนไหวสำหรับรัฐบาล จะเห็นได้ว่าทันทีที่กลับมาทำงาน พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา รีบพาคณะที่มี พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยบินด่วนลงไปตรวจเยี่ยมและมอบสิ่งของช่วยเหลือพี่น้องประชาชนผู้ประสบภัยที่จังหวัดอ่างทองโดยทันที ก่อนที่วันนี้หลังเสร็จประชุมครม.จะบินไปตรวจเยี่ยมต่อที่จังหวัดขอนแก่น
อย่างที่สื่อหลายสำนัก คอลัมนิสต์เกือบทุกรายช่วยกันกระทุ้งมาโดยตลอด แม้จะเข้าใจว่าก่อนหน้านี้ท่านผู้นำและคณะยุ่งอยู่กับงานสำคัญของประเทศ แต่ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนมันรอไม่ได้ หลายพื้นที่ถูกน้ำท่วมขังมานานนับเดือน ถือเป็นเรื่องที่ถูกต้องที่บิ๊กตู่จะรีบลงไปช่วยเหลือเป็นการเบื้องต้น ส่วนมาตรการหลังจากนี้มีขั้นตอนอยู่แล้ว คนเข้าใจแต่ในฐานะผู้มีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ควรจะใช้อำนาจนั้นเร่งรัดแก้ไขสิ่งติดขัดให้เกิดความรวดเร็ว
แต่ก็อีกนั่นแหละ เมื่อท่านเลือกที่จะลงพื้นที่จังหวัดอ่างทองเป็นที่แรก ก็ไม่วายถูกนำไปเชื่อมโยงกับประเด็นทางการเมือง เพราะวันสองวันก่อน สมศักดิ์ ปริศนานันทกุล คนใหญ่คนโตแห่งพรรคชาติไทยพัฒนา เพิ่งออกมาเรียกร้องว่าให้ท่านผู้นำรีบมาช่วยเหลือพี่น้องชาวอ่างทองทันที หลังจากเสร็จงานที่สำคัญของรัฐบาล
พอท่านลงไป ก็มีเสียงวิจารณ์มาทันใด นี่คือสายสัมพันธ์อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากการทอดสะพานกันไว้ก่อนหน้าคราวที่พลเอกประยุทธ์ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมจังหวัดสุพรรณบุรี ก่อนการประชุมครม.นอกสถานที่ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยาเมื่อเดือนก่อน ครั้งนั้นคณะของพรรคปลาไหลนำโดย “ลูกท็อป”วราวุธ ศิลปอาชา และ ประภัตร โพธสุธน ยกโขยงกันไปต้อนรับพร้อมคำสรรเสริญเยินยอกันยกใหญ่
จะว่าไปก็ไม่ใช่เรื่องแปลกหากพรรคชาติไทยพัฒนาจะสนับสนุนพลเอกประยุทธ์อย่างเต็มตัว หรือจะจับมือกับพรรคในเครือข่ายของผู้มีอำนาจในปัจจุบัน เพราะเมื่อยึดตามแนวทางของอดีตผู้นำที่ล่วงลับไปแล้ว พรรคการเมืองแห่งนี้ไม่ได้เน้นที่จะสร้างศัตรู สิ่งสำคัญคือคอยดูว่าใครหรือพวกไหนที่จะเข้าไปมีอำนาจ ต้องให้การสนับสนุน ด้วยเหตุผลไม่ใช่ต้องการอำนาจแต่อยากให้บ้านเมืองได้ประโยชน์
กล่าวสำหรับสถานการณ์น้ำท่วมในปีนี้ตั้งแต่ต้นปีที่ภาคใต้จนเข้าสู่หน้าหนาว กลับพบว่าโดนกันถ้วนหน้าทุกภูมิภาค หนักบ้างเบาบ้างแล้วแต่ปริมาณฝนที่ตกลงมา ส่วนที่ทีมงานของผู้มีอำนาจบอกว่าปริมาณน้ำในปีนี้ใกล้เคียงกับปี 2554 แต่รัฐบาลใช้การบริหารจัดการที่ดี จึงทำให้สถานการณ์ไม่เลวร้ายเหมือนครั้งนั้น เป็นตรรกะที่ถูกเพียงส่วนเดียว
สิ่งสำคัญคืออย่าได้นำไปเทียบเคียงแล้วโยนให้เห็นถึงความไร้ฝีมือของ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นอันขาด เพราะเวลาถูกตอกกลับแล้วจะไปกันไม่เป็น ต้องไม่ลืมว่ายิ่งลักษณ์ได้รับเลือกตั้งในเดือนกรกฎาคม กว่าจะฟอร์มรัฐบาลและเข้ามาบริหารประเทศก็ปาเข้าไปเดือนสิงหาคม-กันยายนแล้ว ซึ่งปรากฏว่าน้ำท่วมไปแล้วหลายพื้นที่
เวลาเตรียมการแทบจะไม่มีหรือพูดง่ายๆว่ายังไม่ทันได้ตั้งตัวก็เจอน้องน้ำเล่นงานเข้าให้แล้ว ผิดกับรัฐบาลปัจจุบัน นั่งบริหารประเทศมานานกว่า 3 ปีแล้ว มีเวลาเตรียมการและวางแผนงานในการบริหารจัดการน้ำกันเต็มรูปแบบ แต่ก็ยังเผชิญกับสถานการณ์น้ำท่วมหนักทั่วทุกภาค โดยไม่สามารถจัดการหรือป้องกันใดๆได้เลย
คำถามย่อมเกิดขึ้นเป็นธรรมดา และน่าจะถูกตำหนิมากกว่ารัฐบาลเมื่อปี 2554 เสียอีก แต่ทุกคนก็เข้าใจว่านี่คือภัยธรรมชาติ ไม่มีใครหรือประเทศใดในโลกที่จะป้องกันได้ ดีที่ว่าป.ป.ช.ยกคำร้องในการที่จะไต่สวนเอาผิดกับยิ่งลักษณ์ต่อกรณีน้ำท่วม มิเช่นนั้น อาจจะกลายเป็นปัญหาย้อนมาเล่นงานรัฐบาลคสช.ก็เป็นได้ เมื่อทุกคนมองกันอย่างเข้าใจแล้ว ก็อยู่ที่รัฐบาลว่าจะแก้ปัญหาให้ลุล่วงไปด้วยดี หรือเลือกที่จะโยนความผิดเหมือนหลายครั้งที่ผ่านมา
น่าสนใจไม่น้อยต่อกรณีคำสั่งคสช.ที่ 6/2560 เรื่องแต่งตั้งผู้ปฏิบัติงานในคณะรักษาความสงบแห่งชาติ เพราะหนึ่งในนั้นมีชื่อของลูกสาว มีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานกรธ.ที่มีฐานะเป็นสมาชิกคสช.รวมอยู่ด้วย โดยถูกแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการประจำผู้ดำรงตำแหน่งในคสช.ซึ่งก็หมายถึงมีชัยนั่นเอง จน วีระ สมความคิด ต้องออกมาตั้งคำถาม รู้สึกละอายใจกันบ้างไหม?
แต่คำตอบจากมีชัยล่าสุดคือ การตั้งลูกสาวมาทำหน้าที่เลขาฯแตกต่างจากนักการเมืองที่แต่งตั้งเครือญาติ เพราะเป็นการทำหน้าที่ตลอดเวลาจึงมีความจำเป็นที่ต้องตั้งคนที่อยู่ด้วยกัน อีกทั้งเพื่อเป็นการเก็บความลับเพราะเรื่องของคสช.เป็นเรื่องของความลับ และเรื่องนี้ไม่ใช่ผลประโยชน์ทับซ้อน ส่วนที่เงินเดือนสูงถึง 47,500 บาท ก็เป็นเรื่องปกติของคนที่ทำงานก็ต้องได้เงิน
ในฐานะเนติบริกรชั้นครู คงป่วยการที่จะไปถกเถียงในแง่มุมของข้อกฎหมายหรือจะไปเอาผิดใดๆ เพราะขนาดตรวจสอบยังทำกันไม่ได้ ทั้งหมดมันอยู่ที่จิตสำนึกล้วนๆ ก็เหมือนอย่างที่วีระบอกแต่งตั้งคนใกล้ชิด ลูกสาวของคสช.บางคนให้เข้ามากินเงินเดือนจากภาษีของประชาชน ทั้งที่ภาระหน้าที่ไม่ชัดเจนจะคุ้มค่าเงินหรือไม่? ทำเช่นนี้ในขณะนี้มันเหมาะสมหรือไม่? ถ้าตอบประสาคนดีต้องบอกว่าไม่เห็นมีอะไรเสียหาย