เปิดโผ 9 หุ้นแรลลี่ยาว! โชว์ 10 เดือนฟันรีเทิร์นเกิน 100%

เปิดโผ 9 หุ้นแรลลี่ยาว! โชว์ 10 เดือนฟันรีเทิร์นเกิน 100% นำโดย BFIT,ASIAN,RS,ORI,ECL,COL,AH,SYNEX และWORK


 

ภาวะตลาดหุ้นไทยช่วง 10 เดือนที่ผ่านมาดัชนี SET ปรับตัวขึ้น 11.56% โดยเทียบจากดัชนียืนอยู่ที่ระดับ 1542.94 จุด (30 ธ.ค. 59) มาอยู่ที่ระดับ 1721.37 จุด ( 31 ต.ค.60) บวกไป 178.43 จุด โดยแรงซื้อที่เข้ามาหนุนให้ดัชนีพุ่งปรับตัวขึ้นอย่างร้อนแรง อาทิ แนวโน้มเศรษฐกิจที่เร่งตัวใน 1-3 ปีข้างหน้า บวกกับการเมืองมีเสถียรภาพหลังรัฐบาลเตรียมเคาะวันเลือกตั้งในปีนี้ช่วยหนุนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและพัฒนาโครงการ EEC มีความต่อเนื่อง

ขณะเดียวกันมีแรงซื้อเก็งกำไรในหุ้นที่คาดว่างบไตรมาส 3/60 จะออกมาดี อาทิ หุ้นแบงก์,พลังงาน,ปิโตรเคมี และเก็งกำไรบริษัทจดทะเบียนในปีหน้าที่เติบโตดีขึ้นรวมทั้งฤดูกาลเม็ดเงิน LTF & RMF ที่มักไหลเข้ามากในไตรมาส 4 ของทุกปี

ดังนั้น“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” จึงทำการสำรวจราคาหุ้นของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในตลาดหลักทรัพย์ SET ในรอบ 10 เดือนที่ผ่านมา โดยครั้งนี้คัดเลือกราคาหุ้นที่ปรับตัวขึ้นแรงเกิน 100% เป็นหลักและพบว่ามีหุ้นที่เข้าเกณฑ์ดังกล่าว 9 ตัว ประกอบด้วย  BFIT,ASIAN,RS,ORI,ECL,COL,AH,SYNEX และWORK โดยจะขอเลือกนำเสนอข้อมูลประกอบให้นักลงทุน 5 อันดับแรกของตารางดังนี้

อันดับ 1 บริษัทเงินทุน ศรีสวัสดิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ BFIT  ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นจากระดับ 12.80 บาท (ณ 30 ธ.ค.59) มาอยู่ที่ระดับ 40.50 บาท (31ต.ค.60) บวกไป 27.70 บาท หรือเพิ่มขึ้น 216.41% โดยราคาหุ้นปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่บริษัท ศรีสวัสดิ์ พาวเวอร์ 1979 จำกัด (มหาชน) หรือ SAWAD ทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมดของ BFIT

จากนั้นบริษัทมีมติให้เข้าทำสัญญาบริหารจัดการสินเชื่อกับบริษัท ศรีสวัสดิ์ พาวเวอร์ 2014 จำกัด (ศรีสวัสดิ์ 2014) เพื่อรับบริการบริหารจัดการสินเชื่อแบบมีหลักประกันในด้านต่างๆ จากศรีสวัสดิ์ 2014 เพื่อสนับสนุนแผนการขยายธุรกิจสินเชื่อแบบมีหลักประกันของบริษัท ซึ่งจะครอบคลุมการให้บริการสินเชื่อที่สำคัญ ได้แก่ งานบริการด้านสินเชื่อ ,งานบริการรับชำระหนี้ และงานบริการจัดการหนี้

โดยสัญญาบริหารจัดการสินเชื่อดังกล่าว ครอบคลุมระยะเวลาให้บริการตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค.60 ถึงวันที่ 30 มิ.ย.62 รวมทั้งสิ้น 2 ปี คิดเป็นมูลค่าของสัญญาบริการ 1.89 พันล้านบาท ประเด็นดังกล่าวยิ่งหนุนให้ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นอย่างร้อนแรง นอกจากนี้บริษัทได้ประกาศงบไตรมาส 3/60 มีกำไร 54.25 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 49.52% จากปีก่อน 36.28 ล้านบาท ยิ่งเป็นแรงหนุนให้ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นอย่างร้อนแรงและทำนิวไฮต่อเนื่อง

 

อันดับ 2 บริษัท ห้องเย็นเอเชี่ยน ซีฟู้ด จำกัด (มหาชน) หรือ ASIAN ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นจากระดับ 4.50 บาท(ณ 30 ธ.ค.59) มาอยู่ที่ระดับ 13.50 บาท (31 ต.ค.60) บวกไป 9.00 บาท หรือเพิ่มขึ้น 200% ราคาหุ้นปรับตัวแรงเนื่องจากผลประกอบการที่ออกมาสดใส บวกกับแผนงานธุรกิจที่โดดเด่นและโบรกเกอร์แนะนำให้เข้าลงทุนทำให้หุ้นทะยานขึ้นตลอด 10 เดือนที่ผ่านมา

บริษัทคงเป้ารายได้ปีนี้ที่ 1.05 หมื่นล้านบาท เติบโตจากปีก่อนที่มีรายได้ 9.2 พันล้านบาท โดยในช่วงครึ่งปีแรกทำรายได้แล้ว 4.9 พันล้านบาท ขณะที่มองว่าในช่วงครึ่งปีหลังมีปัจจัยบวก ได้แก่ ยอดขายอาหารสัตว์เลี้ยงจะเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง และเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่นของธุรกิจอาหารแช่แข็งและอาหารสัตว์ ส่วนธุรกิจทูน่าและจัดจำหน่ายยังคงมีเสถียรภาพ ส่วนความท้าย คือ เงินบาทที่ยังแข็งค่า และจำนวนฟาร์มเลี้ยงกุ้งที่ต่ำกว่าคาด

บริษัทตั้งเป้ารายได้แตะ 1.45 หมื่นล้านบาทภายในปี 63 โดยจะเป็นการเติบโตเฉลี่ยในระดับ 10-12% โดยปรับโครงสร้างรายได้ด้วยการเพิ่มสัดส่วนธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงขึ้นเป็น 28% ของรายได้รวม จากปี 59 อยู่ที่ 20% และธุรกิจจัดจำหน่ายเพิ่มเป็น 7% จากเดิม 5% ส่วนธุรกิจอาหารแช่แข็งจะลดสัดส่วนลงเหลือ 41% จาก 46% ธุรกิจทูน่าลดเหลือ 10% จาก 15% ขณะที่ธุรกิจอาหารสัตว์ยังคงสัดส่วนไว้ที่ 14%

 

อันดับ 3 บริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) หรือ RS ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นจากระดับ 7.80 บาท (ณ 30 ธ.ค.59) มาอยู่ที่ระดับ 22.20 บาท (31 ต.ค.60) บวกไป 14.40 บาท หรือเพิ่มขึ้น 184.62% ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นต่อเนื่องทั้งเรื่องแผนธุรกิจที่โดดเด่น และผลประกอบการครึ่งแรกปีนี้ออกมาสดใสเนื่องจากพลิกมีกำไรจากก่อน ขณะเดียวกันโบรกเกอร์แนะนำให้เข้าลงทุนราคาหุ้นจึงทะยานขึ้นแรงในช่วง 10 เดือนที่ผ่านมา

บริษัทกำลังเข้าสู่ช่วงปรับตัวทางธุรกิจครั้งสำคัญเข้าเป็นประเภทธุรกิจพาณิชย์และค้าปลีก (Consumer Product and Retails) ที่สมบูรณ์แบบมากขึ้น โดยมีธุรกิจสื่อเป็นอีกแกนธุรกิจหลักของกลุ่มอาร์เอส และยังทำหน้าที่สนับสนุนการเติบโตธุรกิจสุขภาพและความงามอีกด้วย ซึ่งมั่นใจว่าเดินมาถูกทางสิ้นปีนี้จะมีรายได้ตามเป้าหมายที่ประกาศไว้ 3.5 พันล้านบาท

นอกจากนั้นบริษัทได้ปรับผังช่อง 8 ในช่วงไตรมาส 3/60 เพื่อเติมความแข็งแกร่งยิ่งขึ้น ซึ่งมั่นใจว่าคอนเทนต์ใหม่จะประสบความสำเร็จผลักดันให้สิ้นปีนี้มีจำนวนสายตาผู้ชม (Eye ball) 5 แสนรายต่อนาที จากปัจจุบัน 3.5 แสนรายต่อนาที

 

อันดับ 4 บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI  ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นจากระดับ 8.00 บาท (ณ 30 ธ.ค.59) มาอยู่ที่ระดับ 20.60 บาท (31 ต.ค.60) บวกไป 12.60 บาท หรือเพิ่มขึ้น 157.50% ราคาหุ้นปรับตัวแรงเนื่องจากหุ้นมีปัจจัยบวกเข้ามาสนับสนุนอย่างต่อเนื่องทั้งในเรื่องแผนงาน และบทวิเคราะห์แนะนำให้เข้าลงทุนยิ่งทำให้หุ้นปรับตัวขึ้นแรง

บริษัทยังคงมั่นใจเป้าหมายยอดขายปีนี้จะเติบโตได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้จำนวน 13,000 ล้านบาท โดยในช่วงครึ่งปีหลังบริษัทมีแผนจะเปิดตัวโครงการใหม่จำนวน 3-4 โครงการ มูลค่าโครงการรวมประมาณ 6,000-7,000 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันมีที่ดินรองรับการพัฒนาโครงการแล้วทั้งหมด

 

อันดับ 5 บริษัท ตะวันออกพาณิชย์ลีสซิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ ECL  ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นจากระดับ 1.62 บาท (ณ 30 ธ.ค.59) มาอยู่ที่ระดับ 4.02 บาท (31 ต.ค.60) บวกไป 2.40 บาท หรือเพิ่มขึ้น 148.15% ราคาหุ้นปรับตัวแรงเนื่องจากเป็นหุ้นราคาถูกจึงง่ายต่อการดันราคาจึงทำให้นักลงทุนเข้ามาเก็งกำไรกันอย่างคึกคัก อีกทั้งบทวิเคราะห์แนะนำให้เข้าลงทุนยิ่งทำให้ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นแรง

บล.บัวหลวง ระบุในบทว่า ECL คาดกำไรไตรมาส 3/60 จะทำ New High อีกครั้งเป็น 38 ล้านบาท เติบโต 90%เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน และ 9%เทียบไตรมาสก่อนหน้า โดยปัจจัยหนุนมาจาก snowball effect ของสินเชื่อที่มีการเติบโตแรงอย่างต่อเนื่อง

ประกอบกับส่วนต่างดอกเบี้ยรับ (NIM) คาดยังคงสูง 6.3% เพราะกลยุทธ์การเน้นสินเชื่อ Big Bike และ Mini Big Bike ที่ให้ดอกเบี้ยรับสูงกว่ารถยนต์ ในขณะที่อัตราดอกเบี้ยคาดยังคงทรงตัวในระดับต่ำ อิงจากอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ยังคงทรงตัว ปรับราคาเป้าหมายของหุ้นไปอิงฐานกำไรปี 2018 ได้ราคาเป้าหมายใหม่เป็น 8.00 บาท

 

*ทั้งนี้ข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้น เป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ การตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน

Back to top button