พาราสาวะถี
เกิดการผิดคิวเล็กๆ สำหรับ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ไปร่วมประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน ที่ประเทศฟิลิปปินส์ ในจังหวะที่จะต้องมีการถ่ายภาพหมู่ระหว่างผู้นำอาเซียนกับสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจอาเซียน ปรากฏว่าผู้นำจากไทยแลนด์ ขอแว่บไปเข้าห้องน้ำ เลยพลาดถ่ายภาพสำคัญช็อตนี้ แต่ไม่ใช่เพราะท่านทนไม่ไหว ไม่ยอมรอ สาเหตุมาจากการประสานงานที่คลาดเคลื่อน
อรชุน
เกิดการผิดคิวเล็กๆ สำหรับ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ไปร่วมประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน ที่ประเทศฟิลิปปินส์ ในจังหวะที่จะต้องมีการถ่ายภาพหมู่ระหว่างผู้นำอาเซียนกับสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจอาเซียน ปรากฏว่าผู้นำจากไทยแลนด์ ขอแว่บไปเข้าห้องน้ำ เลยพลาดถ่ายภาพสำคัญช็อตนี้ แต่ไม่ใช่เพราะท่านทนไม่ไหว ไม่ยอมรอ สาเหตุมาจากการประสานงานที่คลาดเคลื่อน
คงไม่ใช่เรื่องใหญ่ที่จะต้องนำไปขยายผลอะไร แต่เพิ่งรู้ว่าเวทีการประชุมอาเซียนรอบนี้ มีนัยและความสำคัญอย่างยิ่งต่อประเทศไทย ผ่านการบอกเล่าของ สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ที่ว่า ถ้าดูให้ดีจะพบว่าสาระการประชุมอาเซียนซัมมิทในปีนี้มีน้อยมาก แต่ประเด็นหลักจะเห็นว่าจากเดิมเป็นอาเซียนบวก 3 อาเซียนบวก 6 แต่ครั้งนี้มีความพิเศษเป็นอาเซียนบวก 1 เช่น อาเซียน+สหรัฐอเมริกา อาเซียน+แคนนาดา อาเซียน+อียู ไม่นับจีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อินเดีย ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ ซึ่งทั้งหมดมีอาเซียนอยู่ตรงกลาง
การได้เห็นประเทศยักษ์ใหญ่พยายามเข้าไปแย่งชิงการมีบทบาทในภูมิภาคแห่งนี้ พยายามนำตัวเองเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับอาเซียน และจัดให้มีการพบปะพูดคุย เพื่อผูกพันเป็นพันธมิตรแห่งอนาคตร่วมกัน พูดง่ายๆคือ ตั้งแต่ปีที่แล้วที่มีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่สหรัฐฯ โฟกัสนั้นมาอยู่ที่เอเชียทั้งสิ้น จะเห็นความเคลื่อนไหวที่ชัดเจนจากการประกาศแนวร่วมอินโดแปซิฟิก ญี่ปุ่นดึงอินเดียและสหรัฐฯ เป็นพันธมิตรร่วมข้ามภูมิภาค 2 คาบมหาสมุทรทั้งอินเดียและแปซิฟิก
ไล่มาตั้งแต่แอฟริกา ตะวันออกกลาง อินเดีย ผ่านอาเซียนไปถึงแปซิฟิก ทั้งหมดนี้คือแนวร่วมที่ต้องการสร้างขึ้นมาเพื่อเชื่อมกับความคิดเรื่องวันเบลท์ วันโร้ด คลุมจากเอเชียถึงแอฟริกา ทั้งหมดนี้ล้วนมีอาเซียนอยู่ตรงกลางทั้งสิ้น ไม่มียุคสมัยไหนที่อาเซียนจะมีความหมายเท่ากับยุคสมัยนี้ถึงแม้ว่าอาเซียนจะยังไม่แน่นแฟ้นนัก
แต่ภาพของอาเซียนมีประชากร 620 ล้านคน มีการเติบโตทางเศรษฐกิจที่สูงสุดในโลก โดยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมามีการขยายตัวประมาณ 6-7 เปอร์เซ็นต์ และทุกคนพยายามประคับประคองให้อาเซียนอยู่ได้และเป็นบ่อทองคำ ซึ่งค่ายใหญ่ทั้งหลายต้องหันมาให้ความสำคัญ หากจีนสามารถเชื่อมโยงวันเบลท์ วันโร้ดได้จริง จะเห็นว่าอาเซียนคือหัวใจสำคัญและมีจุดตัดที่ประเทศไทย
ในความหมายของสมคิดคือ ถ้าประเทศเพื่อนบ้านยิ่งเติบโต ยิ่งทำให้ไทยได้ประโยชน์มากเท่านั้น ในอนาคตจะมีการเชื่อมโยง เกื้อกูลกันโดยเฉพาะในกลุ่มประเทศซีแอลเอ็มวีที โอกาสจึงเป็นของประเทศไทยดังนั้น ปี 2561 จะเป็นปีที่ไทยมีโอกาสสูงมาก ถ้ารู้จักดูแลตัวเอง และการที่จะได้ประโยชน์สูงสุดจากตรงนี้ โอกาสเปิดแล้วหรือเรียกว่าเป็น Window of Opportunity และหากสามารถคว้าโอกาสนั้นมาได้ ประเทศไทยจะสามารถสร้างฐานแห่งอนาคตได้
เห็นการฉายภาพเป็นฉากๆ แบบนี้ของหัวหน้าทีมเศรษฐกิจรัฐบาล ก็น่าพอจะเชื่อกันได้ว่า ในการปรับครม.เที่ยวนี้ยี่ห้อสมคิดอยู่รอดปลอดภัยแน่นอน มิหนำซ้ำ อาจยังจะได้รับออปชั่นพิเศษ ในการเลือกตัวบุคคลเพื่อเข้าไปเสริมในกระทรวงเศรษฐกิจ ซึ่งพอจะสร้างผลงานในช่วงโค้งสุดท้ายนี้ได้ หลังจากเกิดอาการเกาเหลากับเพื่อนรักท่านผู้นำที่คุมกระทรวงเกษตรและสหกรณ์มาตลอด
ส่วนการคลอดโผครม.ประยุทธ์ 5 น่าจะเกิดขึ้นในเร็ววันนี้ หากพิจารณาจากอาการของรัฐมนตรีหลายๆราย ที่น่าจะได้รับการส่งซิกแล้วว่า ”คุณไม่ได้ไปต่อ” เพียงแต่ว่าโฉมหน้าครม.ยุคปรับแต่ง จะเป็นการปรับโฉมที่ไฉไลกว่าเดิมหรือแค่ปะผุเพื่อลดแรงกระเพื่อม หนีเสียงวิจารณ์เท่านั้น อดใจรออีกไม่กี่อึดใจจะได้รู้กัน
อย่างไรก็ตาม ในบรรดาเสียงสะท้อนทั้งหลายแหล่นั้น ความเห็นล่าสุดของ “บิ๊กบัง” พลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน ที่วันนี้สวมหัวโขนหัวหน้าพรรคมาตุภูมิ แต่อดีตที่เคยเป็นผู้นำการยึดอำนาจ ทักษิณ ชินวัตร ในนามคมช. ก็สะกิดเตือนพลเอกประยุทธ์เบาๆ อย่างเข้าใจว่า บิ๊กตู่เป็นคนตรงไปตรงมา คนไทยส่วนหนึ่งมีความพอใจในบุคลิกลักษณะแบบนี้ แต่อีกหลายฝ่ายอาจไม่เห็นด้วย ไม่พอใจ
เมื่อเป็นเช่นนั้น ท่านผู้นำต้องเข้าใจว่า ความเป็นประชาธิปไตยมีทั้งคนที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย อย่าไปซีเรียสกับความคิดต่างๆ เหล่านั้น พลเอกประยุทธ์ต้องเดินไปข้างหน้า ขณะที่คำถามทั้ง 6 ประเด็นซึ่งตกเป็นกระแสวิจารณ์อย่างกว้างขวางนั้น รัฐบาลต้องถามตัวเองว่าสิ่งที่คสช.กำหนดไว้ ได้ทำไปหมดแล้วหรือยัง ถ้าทำแล้วไม่ต้องกังวล
เช่นเดียวกับการที่มองกรณีคสช.เตรียมตัวตั้งพรรคการเมืองหรือให้การสนับสนุนพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่ง ในมุมของบิ๊กบังบอกว่าสามารถทำได้ แต่ต้องมองต่อไปว่าตั้งแล้วจะไปได้ถึงไหน ไปได้หรือไม่ เพราะมีบทเรียนมาในอดีต แต่ถ้าไม่ตั้งพรรคเองและให้การสนับสนุนพรรคการเมืองอื่น ต้องเข้าใจว่านักการเมืองและพรรคการเมืองอิงอยู่กับประชาชน
สิ่งที่ต้องชื่นชมพลเอกสนธิในฐานะที่เป็นหัวหน้าคณะรัฐประหาร(แบบจำใจ) แต่เมื่อเกษียณแล้วก็เดินเข้าสู่ถนนสายการเมือง ด้วยการตั้งพรรคและเดินทางครรลอง จึงมองการเมืองขาดและเข้าใจ ด้วยการเตือนไปยังท่านผู้นำที่ประกาศตัวผ่านคำถามเรื่องพรรคการเมืองว่า ถ้าประชาชนไม่พอใจคสช. นักการเมืองก็ต้องเอนไปทางประชาชน เพราะเขาต้องขอคะแนนเสียงจากประชาชน เรื่องการเมืองมีอะไรที่ลึกล้ำอีกมาก ฝากคสช.ในประเด็นนี้ ถ้าคิดอะไรต้องคิดให้รอบคอบ
ต้องเข้าใจว่า บทเรียนในอดีตนั้นมีอยู่ แต่หากพิจารณาจากยุทธศาสตร์และยุทธวิธีที่คณะรัฐประหารคสช.ใช้ตลอดห้วงระยะเวลากว่า 3 ปีที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่า มีการเดินเกมที่แยบยลและใช้กระบวนการของกฎหมายให้เกิดประโยชน์แทบจะทุกขั้นตอน นั่นอาจจะเป็นเหตุผลที่ทำให้ท่านผู้นำมั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่า การกลับเข้าสู่อำนาจอีกครั้ง ไม่ว่าจะด้วยวิธีการใดก็ตาม จะไปนำไปสู่จุดจบเหมือนคณะรัฐประหารในอดีต แต่ก็อย่างที่ย้ำมาโดยตลอด ขึ้นชื่อว่าการเมืองอย่าได้มั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์ ทุกสิ่งพลิกผันได้ตลอดเวลา