RS โอกาสในวิกฤต

ใครต่อใครพากันบอกว่าวงการสื่อกำลังอยู่ท่ามกลางวิกฤตในห้วงเวลาของการเปลี่ยนผ่านของเทคโนโลยีแห่งยุคสมัย แต่สำหรับคนใน ตระกูลเชษฐโชติศักดิ์ ผู้ถือหุ้นใหญ่และกุมอำนาจบริหารของ บริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) หรือ RS.....มีเรื่องที่ควรทำมากกว่าแค่พูด


แฉทุกวันทันเกมหุ้น

ใครต่อใครพากันบอกว่าวงการสื่อกำลังอยู่ท่ามกลางวิกฤตในห้วงเวลาของการเปลี่ยนผ่านของเทคโนโลยีแห่งยุคสมัย แต่สำหรับคนใน ตระกูลเชษฐโชติศักดิ์ ผู้ถือหุ้นใหญ่และกุมอำนาจบริหารของ บริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) หรือ RS…..มีเรื่องที่ควรทำมากกว่าแค่พูด

หลายปีมานี้พวกเขานำโดย “เฮียฮ้อ” นายสุรชัย เชษฐโชติศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ RS …ไม่เพียงแต่แค่แปลงวิกฤตให้เป็นโอกาส หากยังสามารถสร้างโอกาสขึ้นมาจากวิกฤตได้อย่างน่าตื่นใจ

แถมยังไปได้สวยเกินคาด เพราะสามารถพลิกสถานการณ์ให้กิจการกลับมามีกำไรสวยงาม เข้าข่ายเทิร์นอะราวด์เต็มตัวทั้งในงบการเงินงวดไตรมาสสาม และงวด 9 เดือนของปีนี้

ชนิดที่พูดได้ว่า “ก้มหน้าไม่อายดิน แหงนหน้าไม่อายฟ้า”

กำไรสุทธิในไตรมาสที่สามของปีนี้ ที่ระดับ 123.88 ล้านบาท จากรายได้รวม 1,002.78 ล้านบาท และกำไรสุทธิงวด 9 เดือน ที่ระดับ 223.02 ล้านบาท จากรายได้รวม 2,636 ล้านบาท จากการที่สามารถสร้างทั้งรายได้และกำไรติดต่อกันเป็นไตรมาสที่ 3 สวนทางสภาพเศรษฐกิจโดยรวมที่ยังคงชะลอตัว

กำไรที่โดดเด่นพลิกจากขาดทุนชนิดลืมตัวเลขขาดทุนต่อเนื่องกันมานานหลายไตรมาสของกิจการไปได้….แม้จะยังห่างไกลจากกำไรสุทธิช่วง “ยุคทอง” ที่เคยทำได้ก่อนปี 2558….ก็ถือว่าเดินทางถูกทางระลอกใหม่อีกครั้ง

ความสามารถในการกลับมาทำกำไรครั้งใหม่นี้ไม่ได้เกิดขึ้นจากธุรกิจบันเทิง หรือ ธุรกิจสื่อโทรทัศน์ ที่แม้ว่าจะส่งสัญญาณรายได้ฟื้นตัว แต่ยังไม่ทำกำไรอยู่ดี….แต่จากการสร้างโอกาสใหม่จากธุรกิจสุขภาพและความงาม หรือ H&B ที่มาแรงแซงหน้า กลายเป็นธุรกิจหลักไปแล้วในเวลาอันแสนสั้น

การพลิกกลับของกำไร เปรียบได้กับปฏิบัติการดิ้นรน “อย่างมีระบบ” หันเหเป้าหมายจากธุรกิจ H&B ที่ปรากฏในคำอธิบายของฝ่ายบริหารในสิ้นงวดไตรมาสสามล่าสุดว่าเกิดจากการ “….เน้นการขายผ่านช่องทางสื่อทั้งโทรทัศน์ระบบดิจิทัล โทรทัศน์ดาวเทียม และสื่อวิทยุของบริษัท และสื่อออนไลน์อย่างเข้มข้น (โดยเฉพาะช่องทางที่เรียกว่า 1781) ซึ่งถือเป็นจุดแข็งและความสามารถหลักที่พัฒนาให้เหนือคู่แข่งในตลาดได้ อีกทั้งฐานข้อมูลลูกค้าที่เติบโตก้าวกระโดดทุกเดือนได้ถูกบริหารอย่างมีประสิทธิภาพ และเป็นระบบมากขึ้น….”

ไม่เพียงเท่านั้น ความสามารถในการเพิ่มจำนวนผลิตภัณฑ์ H&B ของบริษัทเองภายใต้แบรนด์ที่หลากหลายและของพันธมิตรอีกหลายราย รวมทั้งการทำการตลาดและโปรโมชั่นแบบเทเลเซลให้เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายซึ่งเติบโตขึ้น (ที่ RS มีบุคลากรช่ำชองอยู่เดิมแล้วบางระดับ) ก็มีส่วนทำให้ยอดขายพุ่งขึ้นมาแข็งแกร่ง

ความสำเร็จในการใช้เครื่องมือสื่อเดิมที่ไม่ทำกำไร มาดัดแปลงเป็นเครื่องมือในการสื่อสารการตลาด ทำให้การบุกเบิกทำการตลาดผลิตภัณฑ์สินค้า H&B อย่างสินค้าบำรุงผิวหน้าใต้แบรนด์มาจีค (Magique) ผลิตภัณฑ์บำรุงเส้นผมและหนังศีรษะใต้แบรนด์รีไวฟ์ (Revive) และผลิตภัณฑ์อาหารเสริมใต้แบรนด์เอสโอเอ็ม (S.O.M.) ทำให้ยอดขายในไตรมาสสามเฉพาะส่วนนี้มากถึง 422.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 754.8% จากระยะเดียวกันปีก่อน

สัดส่วนการเติบโตของรายได้และกำไรจาก H&B ที่โดดเด่น ทำให้รายได้จากแหล่งอื่นที่เติบโตช้าและไม่ทำกำไรบรรเทาลงไป ไม่ว่าจะเป็น

– ธุรกิจสื่อโทรทัศน์ทั้งภาคพื้นดินแบบดิจิทัลและดาวเทียมลดลงต่อเนื่อง แม้บางรายการจะได้รับความนิยมสูงขึ้น และช่อง 8 ดิจิทัลยังมีเรตติ้งสูง

– ธุรกิจสื่อวิทยุยังคงลดลงแบบ “สาละวันเตี้ยลง” แม้รายได้จะเพิ่มขึ้นจากแพลตฟอร์มใหม่ๆ พ่วงออนไลน์

– ธุรกิจเพลง (รวมรายได้ลิขสิทธิ์และบริหารนักร้อง นักดนตรี และ นักแสดง) ลดลงต่อเนื่องจากพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป

– ธุรกิจจัดอีเวนต์ลดลงต่อเนื่องเพราะไม่มีการจัดคอนเสิร์ตเท่าเดิม

จากตัวเลขที่มาของรายได้ RS จะเห็นชัดถึงการ “กลายพันธุ์” (metabolism) ที่ชัดเจนจากธุรกิจเก่ามาสู่ธุรกิจใหม่ที่เป็นอนาคตอันเรืองรองมากกว่าเดิม ยิ่งในไตรมาสสี่ของปีนี้ยิ่งเห็นชัดเจนขึ้นว่าการจับจ่ายซื้อสินค้า H&B คึกคักต้อนรับเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ส่งผลดีต่อยอดขายหลายรายการและจัดแคมเปญส่งเสริมการขายรองรับเรียบร้อยแล้ว รวมถึงวางแผนออกสินค้าเพิ่มเติมกว่า 20 รายการ

การกลายพันธุ์นี้ไม่แปลกที่ “เฮียฮ้อ” จะออกมาเปิดเผยว่า RS เตรียมยื่นเรื่องขอย้ายกลุ่มซื้อขายในตลาดฯ จากหมวดธุรกิจสื่อ (Media) ไปอยู่ในหมวดธุรกิจพาณิชย์ (Commerce) ในช่วงต้นปี 2561 โดยตั้งเป้าว่าในปี 2561 จะมีรายได้รวมอยู่ที่ 5,300 ล้านบาท เติบโต 50% แบ่งเป็นรายได้จากธุรกิจสื่อ 2,450  ล้านบาท คิดเป็น 46%, รายได้จากธุรกิจสุขภาพและความงาม 2,500 ล้านบาท คิดเป็น 47% (เติบโตมากจากปีนี้ที่คาดว่าจะมีรายได้ที่ 1,400 ล้านบาท) รายได้จากธุรกิจเพลง 250 ล้านบาท คิดเป็น 5% และรายได้จากธุรกิจรับจ้างและผลิตกิจกรรม 100 ล้านบาท คิดเป็น 2%

RS กำลัง “เปี๊ยนไป๋”  ไม่ใช่เรื่องแปลก…แล้วก็อย่าแปลกใจว่า อนาคตของนักร้อง นักดนตรี นักแสดงและพิธีกร ….ค่ายนี้จะหันมาใช้ผลิตภัณฑ์ H&B ของเครือในฐานะพรีเซ็นเตอร์ และแบรนด์แอมบาสเดอร์

เรือมันต้องล่มในหนอง รู้ๆ กันอยู่ …ตอนนี้โอกาสเกิดในวิกฤต แต่อนาคต …โอกาสต่อโอกาส

อิ อิ อิ

Back to top button