พาราสาวะถี
คำพูดเตือนสติท่านผู้นำในวันที่พาคณะเข้าอวยพรปีใหม่ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ แม้จะนุ่มนวลตามสไตล์ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ แต่ทรงความหมายและตรงมาตรงไปเป็นอย่างยิ่ง “ตู่ใช้กองหนุนไปเกือบหมดแล้ว แทบจะไม่มีกองหนุนเหลืออยู่แล้ว แต่ว่าถ้าเราสามารถแสดงให้เห็นถึงความปรารถนาดีที่มีต่อประชาชนชาวไทย กองหนุนก็จะมาเอง”
อรชุน
คำพูดเตือนสติท่านผู้นำในวันที่พาคณะเข้าอวยพรปีใหม่ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ แม้จะนุ่มนวลตามสไตล์ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ แต่ทรงความหมายและตรงมาตรงไปเป็นอย่างยิ่ง “ตู่ใช้กองหนุนไปเกือบหมดแล้ว แทบจะไม่มีกองหนุนเหลืออยู่แล้ว แต่ว่าถ้าเราสามารถแสดงให้เห็นถึงความปรารถนาดีที่มีต่อประชาชนชาวไทย กองหนุนก็จะมาเอง”
ความหมาย”กองหนุน”ในมุมมองของป๋านั้นไม่แน่ใจว่าหมายถึงใคร แต่ถ้ามองอย่างกลางๆ ก็คงจะหมายถึงพวกหลับหูหลับตาเชียร์คณะรัฐประหารตั้งแต่วันแรกและฝ่ายที่เป็นกลางเคยชื่นชอบผลงานของบิ๊กตู่ตอนเข้ามายึดอำนาจจากรัฐประหารเลือกตั้ง แต่มาวันนี้ด้วยสถานการณ์ที่แม้จะไม่มีสิ่งใดมากวนใจรัฐบาลคสช. แต่กลับพบว่าการแก้ไขปัญหาไม่ได้มีอะไรคืบหน้า มีเพียงอย่างเดียวที่เห็นมากที่สุดคือ การพูดของท่านผู้นำ
หากจะบันทึกเป็นสถิติ พลเอกประยุทธ์น่าจะเป็นผู้นำหนึ่งเดียวในโลกที่พล่ามบ่นมากที่สุด ทั้งผ่านจอโทรทัศน์ทุกคืนวันศุกร์ บนเวทีสัมมนาต่างๆ รวมทั้งการให้สัมภาษณ์กับนักข่าว แต่การพูดมากไม่ว่าจะเรื่องใดก็ตาม กลับสวนทางกับผลงานที่ปรากฏสู่สายตาประชาชนและการรับรู้ของสาธารณชน โดยเฉพาะปัญหาปากท้องของพี่น้องประชาชน
ด้วยเหตุนี้ ประสาผู้ผ่านร้อนผ่านหนาวทางการเมืองมาอย่างยาวนาน ย่อมอ่านเกมขาดและเห็นทิศทางทางการเมืองภายใต้การกุมบังเหียนประเทศของบิ๊กตู่ว่า ความนิยมชมชอบนั้นเริ่มถดถอย จนใกล้จะติดลบเข้าไปทุกวัน การเลือกที่จะเตือนว่าใช้กองหนุนไปเกือบหมดแล้ว จึงเป็นการส่งสัญญาณ ส่วนการจะกอบกู้กองหนุนหรือเสียงเชียร์ขึ้นมาได้นั้น ความปรารถนาดีเพียงอย่างเดียวคงช่วยไม่ได้ มันต้องมีผลงานเป็นที่ประจักษ์ด้วย
ไม่เพียงเท่านั้น เรื่องความโปร่งใสในฐานะรัฐบาลที่ขันอาสาเข้ามาปราบทุจริต แม้กระทั่งรัฐธรรมนูญก็ยังประกาศเป็นฉบับปราบโกง แต่คำถามที่ประชาชนยังคาใจ เกี่ยวกับคนใกล้ตัวของท่านผู้นำวันนี้ยังไร้คำตอบและมีแต่ความคลางแคลงใจ ไม่ว่าจะเป็นกรณี พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ปมแหวนแม่และนาฬิกาเพื่อน ที่มีช่องทางฟอกขาวโดย ป.ป.ช. คำถามก็คือคำชี้แจงที่ส่งให้องค์กรอิสระด้านการป้องกันและปราบปรามการทุจริต
เมื่อผลตรวจสอบเสร็จสิ้นจะชี้แจงให้สังคมเกิดความกระจ่างชัด หมดจดไร้ข้อกังขาหรือไม่ ในขณะที่รายของพี่รองอย่าง พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา ประเด็นการอนุมัติที่ดินสาธารณะของชุมชนให้บริษัทเอกชนชื่อดังเช่า หลังถูกตรวจสอบหนักต้องสั่งใส่เกียร์ถอยไม่เป็นท่า รวมทั้งกรณีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเตรียมจัดซื้อเครื่องตรวจจับความเร็วแบบพกพา ก็สะท้อนอาการไม่โปร่งใสให้เห็นตั้งแต่เริ่มกระบวนการ
เหล่านี้คือ สัญญาณเตือนที่ไม่รู้ว่าท่านผู้นำสัมผัสหรือรับรู้ต่ออาการไม่พอใจของสาธารณชนหรือไม่ นี่ยังไม่นับรวมกรณี อุทยานราชภักดิ์ การให้องค์การทหารผ่านศึกขุดลอกคลองทั่วประเทศที่พบหลักฐานความไม่โปร่งใสอื้อ รวมไปถึงการจัดซื้อเรือดำน้ำจากจีน เหล่านี้คือสิ่งที่เป็นเครื่องหมายคำถามต่อการเข้ามาปราบโกงของรัฐบาลคสช.ทั้งสิ้น
ขณะเดียวกัน สิ่งที่ทำให้ท่านผู้นำเสียรังวัดมาโดยตลอดคือ สัญญาว่าด้วยโรดแมปเลือกตั้ง ถูกเลื่อนแล้วเลื่อนอีก ตั้งแต่ตุลาคม 2558 จนถึงปี 2560 ซึ่งคนส่วนใหญ่เข้าใจได้ว่าปีที่ผ่านมานั้นมีงานสำคัญของคนทั้งชาติจำเป็นที่จะต้องเลื่อน แต่กับคำสัญญาล่าสุด เลือกตั้งต้องเกิดขึ้นในเดือนพฤศจิกายนปีนี้ แม้ลิ่วล้อจะพากันยืนยันหน้าสลอนว่าไม่มีเหตุอันใดต้องให้เลื่อน
แต่คำพูดของท่านผู้นำล่าสุดที่ลั่นวาจาว่า ประกาศไว้เลยสถานการณ์ถ้ายังมีความขัดแย้งสูงการเลือกตั้งได้หรือเปล่าตนไม่รู้ เพราะฉะนั้นอย่าทำให้มันเกิดขึ้น ตนไม่ได้เป็นคนทำ ถ้าอยากให้มีการเลือกตั้งก็ขอให้มีความสงบสุขเรียบร้อย ถ้าไม่สงบเลือกตั้งไปแล้วยังมีการตีกันอยู่ตนก็รับผิดชอบไม่ได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าตนจะเลื่อนการเลือกตั้งออกไป เพียงแต่พูดปรามไว้สำหรับคนที่จะสร้างความวุ่นวาย
๑๑ความหมายของความวุ่นวายในมุมของท่านผู้นำนั้นคืออะไร เพราะด้วยสำนึกของวิญญูชนมาจนถึงขณะนี้ ยังมองไม่เห็นว่ามีกลุ่มใดสร้างความขัดแย้งหรือมีปัญหาต่อกัน เว้นเสียแต่กลุ่มต่างๆ ที่มีปัญหาต่อท่าทีและทัศนะของท่านผู้นำเวลานี้ ก็อย่างที่ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ระบุ หลังการตั้ง 6 คำถามของพลเอกประยุทธ์ เริ่มมีลักษณะจะเป็นผู้เล่นเองและอาจกลายเป็นคู่ขัดแย้งทางการเมืองใหม่
๑๑ตนไม่อยากเห็นการเมืองแบ่งฝ่ายที่ผูกติดกับบุคคล แต่อยากเห็นการแข่งขันการเมืองทางความคิด เชิงนโยบาย ที่ผ่านมาโรดแมปเลื่อนออกไปเรื่อยๆ แต่ไม่ได้ออกมาในลักษณะที่คนรู้สึกว่าผิดธรรมชาติคิดว่าทุกคนเข้าใจ แต่ถ้าวันนี้พูดว่าวุ่นวายแล้วเลือกตั้งไม่ได้ นี่ไม่ใช่ปัญหาเชิงเทคนิคตามกฎหมายแต่เป็นเรื่องเหตุการณ์ซึ่งเป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่ต้องดูแลให้ได้
จริงๆ แล้ว พลเอกประยุทธ์ควรบอกว่าจะดูแลไม่ให้เกิดความไม่สงบ แล้วประเทศจะเดินหน้าได้ แบบนี้ทุกคนจะเกิดความมั่นใจ คำว่าสงบเรียบร้อยหมายถึงทุกคนอยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกัน ไม่ใช่ไปบอกว่าการวิจารณ์หรือแสดงความเห็นบนข้อเท็จจริงเป็นความไม่สงบ เพราะเราต้องอยู่ในสังคมที่หลากหลาย มีเสรีภาพพอสมควรตามกฎหมาย
การขยับของท่านผู้นำล่าสุดดูเหมือนว่าจะมีปฏิกิริยารุนแรงอย่างยิ่งจากฝั่งของพรรคเก่าแก่ นอกจากอภิสิทธิ์แล้ว สาธิต ปิตุเตชะ ก็ตั้งคำถามว่าให้พลเอกประยุทธ์เลือกว่า จะไปทางนรกหรือทางสวรรค์ ถ้าเลือกเส้นทางถูกใช้เวลา 1 ปีที่เหลือรักษาคำพูดปูทางโรดแมปไปสู่การเลือกตั้งที่มีคุณภาพ เพื่อวางโครงสร้างประเทศ โดยให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสินใจเลือกนายกฯและรัฐบาลของตัวเอง จะเป็นเส้นทางไปสู่สวรรค์
แต่ถ้าพลเอกประยุทธ์หาข้ออ้างสืบทอดอำนาจในการเป็นนายกฯต่อ ใช้กลอุบาย ไม่ทำตามสัญญา หาทางต่ออำนาจให้ตนเอง โดยไม่สนใจความเดือดร้อนประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศที่กำลังเดือดร้อนกับปัญหาเศรษฐกิจในที่นี้ ขอเตือนเอาไว้ก่อนว่า เส้นทางนี้เป็นเส้นทางนรก จะทำให้พลเอกประยุทธ์ไม่มีความสุขกับชีวิตที่เหลืออยู่หลังลงจากอำนาจ ลองคนของพรรคเก่าแก่มองไม่ตรงหรือเห็นต่างจากผู้มีอำนาจแบบนี้แล้วต้องบอกว่าเป็นสถานการณ์ที่ไม่ธรรมดา แต่การเมืองเป็นเรื่องที่ยากจะคาดเดา อะไรก็เกิดขึ้นได้เสมอ