STEC ท็อปพิคกลุ่ม! ลุ้นกำไรปี 61 โตสนั่น ตุน Backlog แน่นระดับแสนลบ.

STEC ท็อปพิคกลุ่มรับเหมา! ลุ้นกำไรปี 61 โตสนั่น รับ Backlog แน่นระดับแสนลบ. โบรกฯ เคาะเป้าสูง 33.50 บาท ดันอัพไซด์สูงปรี๊ด


เมื่อวันที่ 28 ธ.ค.60 การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ลงนามในสัญญาจ้างก่อสร้างโครงการรถไฟทางคู่ระยะเร่งด่วน 5 เส้นทาง กับบริษัทผู้รับจ้างที่ผ่านการคัดเลือกด้านราคาทั้ง 9 สัญญา ประกอบด้วย ช่วงลพบุรี-ปากน้ำโพ, ช่วงมาบกะเบา-ชุมทางถนนจิระ, ช่วงนครปฐม-หัวหิน, ช่วงหัวหิน-ประจวบคีรีขันธ์ และ ช่วงประจวบคีรีขันธ์-ชุมพร รวมระยะทาง 702 กม. มูลค่าการก่อสร้างทั้งสิ้น รวม 69,531,000,000 บาท ภายหลังจากการลงนามแล้ว รฟท. จะให้ผู้รับจ้างเริ่มดำเนินการก่อสร้างในช่วงไตรมาส 1/61 และให้แล้วเสร็จตามแผนภายในปี 65

“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” จึงได้ทำการสำรวจข้อมูลและบทวิเคราะห์หุ้นบริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่งแอนด์คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ STEC ซึ่งเป็น 1 ในผู้ประกอบการที่ได้รับงานงานก่อสร้างรถไฟทางคู่ โดยได้รับงานช่วงนครปฐม-หัวหิน ระยะทาง 169 กม. แบ่งออกเป็น สัญญาที่ 1 ช่วงนครปฐม-หนองปลาไหล วงเงิน 8,198,000,000 บาท ระยะเวลาก่อสร้าง 36 เดือนและสัญญาที่ 2 ช่วงหน่องปลาไหล-หัวหิน วงเงิน 7,520,000,000 บาท ระยะเวลาก่อสร้าง 36 เดือน

ขณะเดียวกัน นักวิเคราะห์ มองว่า กำไรในไตรมาส 4/60 จะเติบโตทั้งเทียบจากปีก่อนและเทียบจากไตรมาสก่อน รวมทั้งการได้รับงานก่อสร้างรถไฟทางคู่ช่วยเพิ่มงานในมือแตะระดับแสนล้านบาท ถือเป็นจุดสูงสุดในประวัติการณ์หนุนกำไรในปี 61 โตสนั่น

ขณะเดียวกัน ราคาหุ้น STEC ปิดตลาดวานนี้ (3 ม.ค.) อยู่ที่ 24 บาท บวก 0.60 บาท หรือ 2.56% ด้วยมูลค่าซื้อขาย 451.62 ล้านบาท ทั้งนี้ยังคงมีอัพไซด์จากราคาเป้าหมายสูงสุดที่ 33.50 บาท อยู่ 40%

โดย นักวิเคราะห์ บล.โนมูระ พัฒนสิน ระบุในบทวิเคราะห์ ให้ราคาเป้าหมาย STEC ที่ 33.5 บาทต่อหุ้น คาดกำไรปกติไตรมาส 4/60 เติบโตทั้งเทียบจากปีก่อนและเทียบจากไตรมาสก่อน จากรายได้ก่อสร้างงานภาครัฐส่งมอบมากขึ้นชดเชยงานเก่า

นอกจากนี้บริษัทได้ลงนามสัญญาก่อสร้างรถไฟทางคู่รวมเกือบ 1 หมื่นล้านบาทกับรฟท. โดยแบ่งออกเป็น 2 งานคือ ช่วงนครปฐม-หัวหิน และ ประจวบคีรีขันธ์-ชุมพร เริ่มก่อสร้างได้ในไตรมาส 1/61 เริ่มรับรู้รายได้ หนุนผลประกอบการปี 61 โดดเด่น

ทั้งนี้คาดว่ากำไรปี 61 จะเพิ่มขึ้นจากฐานต่ำในปีนี้จากเริ่มรับรู้รายได้งานก่อสร้างและอัตรากำไรที่ปรับตัวดีขึ้น หนุนแตะระดับ 1.8 พันล้านบาท เติบโต 97% เทียบจากปีก่อน โดย Backlog สูงระดับแสนล้านบาท เป็นจุดสูงสุดในประวัติการณ์ และ Secured รายได้ 3-4 ปีข้างหน้า

สำหรับราคาที่ปรับลงมา จึงมองเป็นจุดน่าซื้อสะสมรับการลงทุนรอบใหม่ โดยปัจจุบันซื้อขาย P/BV18F 2.8 เท่า แม้สูงกว่าค่าเฉลี่ยในกลุ่มฯ (1.9เท่า) แต่ยังเหมาะสมจากความสามารถในการทำกำไรสูง, ฐานะการเงินแข็งแกร่ง รวมถึงเป็นผู้ได้รับประโยชน์ลำดับต้นๆ จากการรับงานลงทุนรอบใหญ่ในช่วงถัดไป

ด้าน นักวิเคราะห์ บล.เอเซีย พลัส ระบุในบทวิเคราะห์ ให้ราคาเป้าหมาย STEC ที่ 30 บาทต่อหุ้น เลือกเป็น Top Picks กลุ่มรับเหมาฯ และราคาหุ้น Laggard ตลอดปี 60 สวนทางกำไรปี 61-63 ที่จะเติบโตเฉลี่ย 30% ต่อปี จากงานใหม่ที่เซ็นสัญญากว่า 8 หมื่นล้านบาทในปี 60

 

Back to top button